วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562

PAÑPURI WELLNESS @ 12th Floor Gaysorn Tower ใครจะนึกว่ากลางเมืองจะมี Spa และ Onsen ที่แสนสงบอยู่ด้วย

เคยลองจินตนาการว่าเราอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โซนที่เต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลาย เป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะหาที่ๆสงบและหลบเร้นจากความวุ่นวายในใจกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะมีออนเซนให้ได้แช่ตัวเพื่อผ่อนคลายและชมวิวเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแห่งหนึ่งของโลกแห่งนี้  แล้วถ้ามันมีล่ะ??? มันจะสุดยอดขนาดไหน

การมีออนเซน หรือเซนโตะ (โรงอาบน้ำ) ที่ซ่อนตัวอยู่ในตัวเมือง อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกนัก สำหรับญี่ปุ่น แต่ก็ถือว่าแปลกถ้าจะมีที่ไทย แต่ในตอนนี้เรื่องที่ไม่น่าเชื่อนั้นก็กลายเป็นความจริงแล้ว 

บนชั้น 12 ของเกสรวิลเลจ เหนือขึ้นไปจาก Gaysorn Cocoon แลนด์มาร์คของเกสรวิลเลจ ที่ๆสูงพอที่จะหลุดพ้นความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติของความสงบ และอิ่มเอมไปกับความลื่นไหลของสายน้ำ และวิวเบื้องสูงที่ทำให้เห็นกรุงเทพในมุมมองใหม่ เป็นที่ตั้งของ PAÑPURI WELLNESS

เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ก็จะพบห้องโถงที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยพื้นไม้ ผนังหินอ่อน ที่ผสมผสานกลิ่นไอตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัวและร่วมสมัย ในด้านขวามือจะเป็นตู้ล็อคเกอร์รองเท้าให้ได้เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะสาน ที่ให้ความสบาย เหมือนอยู่บ้าน 













เมื่อหมุนกุญแจล็อครองเท้าเรียบร้อยแล้ว ก็พบที่ห้อยเป็นรูปนกยูงคู่ ซึ่งเป็นโลโก้ของ PAÑPURI โลโก้และชื่อแบรนด์ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีเรื่องราว...


ที่มาของแบรนด์ PAÑPURI เกิดจากคำ 2 คำมารวมกัน 
Pan มาจาก ปัญญา  ส่วน Puri นั้นมี 2 ความหมาย  ในภาษาอินเดีย แปลว่า เมืองที่ชำระล้างบาป ส่วนภาษาอังกฤษจะแปลว่า = pure บริสุทธิ์

ส่วนโลโก้นกยูงนั้น  ไม่ได้อิงมาจากพาหนะของเทพ แต่เป็นการเปรียบเทียบว่างขนหางของนกยูงเหมือนดวงตา เมื่อนกยูงรำแพนก็เหมือนมีตาอยู่รอบตัว เปรียบเหมือนมีความรู้รอบตัวเป็นอย่างดี


ใกล้ๆ จะเห็น Showcase ที่แสดงสินค้าในหมดต่างๆของแบรนด์ โดยในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปในด้าน Skincare ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ อย่างเช่นวัตถุดิบหลัก อย่างมะลิ ก็จะต้องเก็บและส่งเข้าโรงงานก่อน 8 โมงเช้าเพื่อรักษาคุณภาพให้ดีเยี่ยม

ขนาดแบรนด์ยังมีที่มาที่น่าสนใจขนาดนี้ เราลองมาดูกันว่าที่นี่จะแฝงเรื่องราวที่น่าสนใจอะไรอีกกันครับ 

หลังจากได้เก็บรองเท้าและได้ชมผลิตภัณฑ์ต่างๆของ PANPURI แล้ว ก่อนที่จะเริ่มการ Treatment ก็จะมี Welcome Drink ครับ

เป็นน้ำทำจาก กระชายที่สั่งมาพิเศษ ผสมใบเตย น้ำผึ้งจากต่างประเทศ100% มีขิงฝานตัดมะนาว เพื่อสร้างความสดชื่นก่อนเข้ารับ Treatment

บริเวณโถงกลางนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อน และทานอาหารหากใครรู้สึกหิว ก็จะมีอาหารให้ทาน โดยเน้นความเป็นธรรมชาติ เมนูจานหลักจะมี มีปลาแซลมอน นำเข้า และไก่ จากฟาร์มเปิด  วิธีการทำอาหารจะเป็นซูวี เพื่อให้อาหารสุกแต่ยังคงวิตามิน และคุณค่าทางอาหาร








บริเวณนี้จะเห็นวิวตรงข้ามกับ Central World เลย ในวันที่อากาศสดใสฟ้าจะสวยมาก และช่วงพระอาทิตย์ตก วิวก็น่าจะสวยงามไม่แพ้กัน



อีกด้านจะพบดอกไม้ที่จัดแบบอิเคบานะ ตามแนวคิดของญี่ปุ่น ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็เป็นผู้มาจัดให้ด้วย โดยอิเคบานะนี้ เป็นการจัดที่อิงแนวคิดมาจาก วาบิ-ซาบิ ซึ่งเป็นการดื่มด่ำความงามเปลี่ยนตามธรรมชาติ เพราะดอกไม้ที่จัด แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสัปดาห์ ตำแหน่งของมันจะยังคงเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการผลิบานและร่วงโรย นั่นก็เป็นอีกปรัชญาหนึ่งที่ทำให้เราได้ซึบซับความงดงามของชีวิต




การ Treatment ของที่นี่มี 2 แบบ คือ Onsen กับ Spa ครับ เรามาเริ่มในส่วน Onsen กันก่อน


ด้านในจะมีเคาท์เตอร์ เพื่อรับชุดเครื่องใช้ส่วนตัว รวมไปถึงชุดใส่ด้วย ที่อื่นๆจะให้บริการชุด ยูกาตะ แต่สำหรับที่นี่จะให้ชุดจินเบที่ตัดเย็บอย่างปราณีต สำหรับที่นี่โดยเฉพาะครับ ต่างจากยูกาตะตรงที่จะเป็นขาสั้นใส่สบาย ไม่ต้องกลัวโป๊สำหรับคนที่ไม่ชอบแบบผูกๆอย่างยูกาตะ






หลังจากอ่านกฎระเบียบในการใช้ออนเซนแล้วก็จะมีล็อคเกอร์ให้เก็บเสื้อผ้าและนำผ้าขนหนูไปเตรียมแช่ Onsen ซึ่งข้อดีอีกอย่างสำหรับที่นี่ คือ เหมาะกับคนขี้อายมาก เพราะโดยปกติแล้วการแช่ออนเซนจะต้องไม่ใส่อะไรเลย แต่สำหรับที่นี่จะมีชุดชั้นในให้สำหรับผู้หญฺิง และกางเกงบ็อกเซอร์สำหรับผู้ชายครับ เหมาะกับผู้เริ่มต้นแช่ Onsen เลยทีเดียว

มีป้ายแนะนำการใช้ออนเซนให้ถูกวิธีครับ


ตู้ล็อคเกอร์ จะเป็นแบบอัตโนมัติ ปลดล็อคด้วย Wrist Band



ในบริเวณนี้มีส่วนแต่งตัวหลักแช่เสร็จด้วยแต่เดี๋ยวค่อยกลับมาดูกันนะครับ

ทางเดินในโซนนี้จะเป็นแบบทอดยาว ให้ความรู้สึกเหมือนโถงทางเดินในบ้านญี่ปุ่นโบราณ แต่ก็มีการเล่นแสงให้ดูสวยงามร่วมสมัย




มาถึงบ่อ Onsen กันแล้วครับ เมื่อเข้ามาจะเห็นบ่อ Onsen อยู่มากมายให้ได้เลือกแช่ แต่ก่อนจะแช่ต้องไม่ลืมที่จะอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายก่อนนะครับ เป็นธรรมเนียมปฎิบัติแบบญี่ปุ่นเลย

ด้านขวามือจะเป็นบ่อ ที่ใช้อิงคุณประโยชน์มาจากบ่อ Niseko ครับ จะค่อนข้างร้อนหน่อย อุณหภูมิประมาณ 42 องศา



จากบ่อ Niseko หันหลังไปจะพบบ่อที่สำหรับแช่เท้า ที่อ้างอิงประโยชน์มาจากบ่อคูซัตซึ การแช่เท้าของคนญี่ปุ่น เราเรียกว่า Ashiyu ช่วยในการกระตุ้นร่างกายในขั้นต้น เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้มีความดันสูงก็สามารถแช่ได้อย่างปลอดภัยครับ



ติดกับบ่อ Niseko จะเป็นบ่อ Kusatsu บ่อที่เลื่องชื่ออย่างยิ่งในญี่ปุ่น หลายสำนักยกให้บ่อนี้คือบ่อ Onsen อันดับ 1 ของญี่ปุ่นเลยครับ ด้วยคุณค่าทั้งด้านประโยชน์ และคุณค่าทางวัฒนธรรม เพราะบ่อนี้จะมีการแสดงระบำกวนน้ำที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อุณหภูมิประมาณ 39 องศา


บ่อทั้ง 2 จะแตกต่างกันเล็กน้อย โดยบ่อ Niseko  จะเป็นน้ำใส ส่วน Kusatsu จะเป็น Milky ควบคุมคุณภาพโดยวัดคุณภาพน้ำ ph ทุกชั่วโมง

จะเห็นผืนน้ำสงบนิ่งราวกับแผ่นกระจก ที่สะท้อนความงามของผืนฟ้าที่สวยงามได้ ว่ากันว่าเมื่อเราได้แหงนมองท้องฟ้าสีคราม ท้องฟ้านั้นก็จะช่วยปัดเป่าความทุกข์และความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี



ถัดไปอีกมีบ่อโซดาครับ ช่วยให้ขจัดเซลล์ผิวเก่าผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้ เพราะมี co2ผสมน้ำ






มี Gimmick ในการแช่ Onsen ด้วยนะครับ เราสามารถเรียงลำดับการแช่แต่ละบ่อ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการได้ โดยดูจากลำดับการแช่ตามป้าย ซึ่งจะให้ผมต่างกัน เช่น ช่วยให้หลับลึก แก้เครียด


ในแต่ละจุดก็จะมีป้ายบอกเรื่องราว รวมถึงวิธีการแช่ครับ




ตรงนี้เป็นบ่อเย็น 16 องศา แช่บ่อปกติมา รับรองว่าช็อคสะใจดีครับ แต่ผูุ้ที่เป็นโรคความดันอาจจะไม่เหมาะกับบ่อนี้นะครับ


หากใครอยากแช่แบบนั่งสบายๆบนเก้าอี้ มีบ่อ Jet ที่เหมือนนั่งไปนวดไปให้นั่งเพลินๆได้ด้วย





ใครเบื่อแช่น้ำร้อนแล้ว ก็สามารถไปตากอากาศร้อน ในห้องซาวน่าได้ด้วย ภายในบุด้วยหินเกลือหิมาลัย ที่นอกจากให้ความร้อนแล้วยังให้คุณค่าบำรุงจากหินด้วย


ด้านหน้ามีที่ฝากแว่น แสดงถึงความใส่ใจและเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี


ใกล้กันจะเป็นโซนอาบน้ำ ซึ่งเราต้องมาเป็นที่แรกครับ

แบบขันตักน้ำ




ฝักบัวแบบปกติ มีอุปกรณ์อาบน้ำให้ครบครัน



แต่ถ้าใครอยากสัมผัสการอาบน้ำแบบอยู่ใน Onsen แท้ๆก็มีให้อาบครับ นั่งยองๆบนเก้าอี้ และอาบน้ำ


ก็ครบแล้วครับสำหรับส่วนออนเซน ออกไปดูส่วนอื่นๆกันต่อ



มายังส่วนล็อคเกอร์และห้องแต่งตัวกันอีกครั้ง


มีน้ำ Infuseed ให้ได้ทาน สร้างความสดชื่นกัน แตงโมที่นำมาแช่นั้นเป็นแตงโม Organic อีกด้วย จึงมั่นใจได้ว่ามีทั้งคุณค่าและปลอดสารพิษ


มาส่วนอุปกรณ์อาบน้ำกันบ้าง อุปกรณ์ต่างๆของที่นี่จะกลิ่นที่เฉพาะสำหรับที่นี่โดยเฉพาะ เรียกว่า Exclusive ก็ได้ ลูกค้าไม่สามารถหาซื้อได้จากที่อื่น หรือแม้แต่ซื้อกลับบ้าน เพื่อคงความเฉพาะตัวของที่นี่เอาไว้เท่านั้น เป็นการยึดมั่น Concept อย่างยิ่ง


ก็จะมีการตกแต่งดอกไม้แบบอิเคบานะเช่นกัน


จาก Onsen มายังด้านสปาครับ















ห้อง Relax แบบญี่ปุ่นมีหมอนอิง แต่มีปรับเป็นพิลาทิสด้วย







เมื่อเข้ามาในโซน Treatment จะได้ยินเสียงเพลงและบรรยากาศที่ต่างออกไปให้อารมณ์ที่ต่างกัน










ระหว่างรอสามารถลองสครับ น้ำมันนวด และลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้





มาพูดถุึงห้องสปากันบ้าง ที่นี่จะมีอยู่ 3 แบบ

- Double 
- Single นวดไทย
- VIP Double 

วันนี้พาไปดูห้อง VIP Double ราคา 35,000 ทรีทเม้นท์ 3.5 ชม มีแชมเปญ และมีบ่อ Onsen ส่วนตัวให้แช่

โดยรูปแบบการนวด จะมีที่ปรึกษาเป็นอาจารย์ด้านการยศาสตร์และแนะนำด้านการใช้ผลิตภัณฑ์ควบคู่ให้เหมาะสมกับแขก การ Treatment จะผสมผสานตะวันตกและออกอย่างเหมาะสม
- ตอนต้นเน้นผ่อนคลายแบบตะวันตก 
- หลังจากนั้นเน้นกดจุด และศาสตร์อื่นๆตะวันของตะวันออก










ผ้าที่ใช้เป็นออร์แกนิคจากอินเดีย ใช้น้ำยาซักพิเศษในการซัก เพื่อให้เป็นธรรมชาติ ลดการแพ้



เมื่อเสร็จเรียบร้อยจะเสิร์ฟ ชาข้าว กับผลไม้ โดยชาข้าวจะทำจากข้าวเปลือก ไม่ได้คั่วแต่เป็นการใช้ความร้อนให้กลิ่นออกมา




ท้ายสุด ได้ลองพูดคุยกับทีมของที่นี่ พวกเขามีแนวคิดที่ว่าอยากทำที่นี่ให้ดี จนลูกค้าที่มาเยี่ยมคิดว่าอยากมาสปาของปานปูริให้ได้ เป็นคำพูดสั้นๆ แต่แฝงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและใส่ใจที่จะทำให้สปานี้เป็นหนึ่งในสปาที่สร้างชื่อให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทย และพวกเราก็คิดว่ามันเป้นไปได้