ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งในหมู่คนไทย และยิ่งตอนนี้สามารถไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ยิ่งทำให้หลายคนสนใจและอยากไปประเทศนี้กันมากขึ้น เราจึงมาแชร์รีวิวให้ได้อ่านกันเป็นไอเดียครับ สำหรับรีวิวนี้จะพูดถึงภูมิภาคฮอกไกโด ซึ่ง เปรียบเสมือนอารณาจักรแห่งอาหาร ที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานหรือคาว แค่มากินอย่างเดียวก็คุ้มแล้ว แต่ภูมิภาคนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่มากหมายครับ
สำหรับการเดินทางตอนนี้การบินไทยมีบินตรงไปฮอกไกโดแล้ว โดยจะไปลงที่สนามบิน New Chitose ครับ พอพูดถึงชื่อสนามบินแล้วก็อยากเล่าเกล็ดความรู้ต่างๆที่ได้ทราบมาเกี่ยวกับญี่ปุ่นให้ได้ทราบกันดังนี้ เพื่อที่เราจะได้เข้าใจประเทศเค้ามากขึ้น และเกิดอรรถรสในการเที่ยวชมครับ
ญี่ปุ่นเรียกตัวเองว่า นิปปอน (Nippon) แต่ทำไมคนไทยไม่เรียกว่าประเทศนิปปอน แต่เรียกญี่ปุ่น สาเหตุคือ เราเรียกตามชาวจีนครับ ชาวจีนเรียกชาวญี่ปุ่นว่า "เยียดเปิ่น" และเราก็แผลงเสียงมาจนเป็น ญี่ปุ่น คล้ายๆฝรั่งได้ยินเรา เรียก "บางกอก" แต่ฟังเป็น Bangkok
สำหรับที่มาของชาวญี่ปุ่นนั้น เดิมเชื่อกันว่า เป็นชาวจีน ระดับขุนนางที่มีความรู้สูง ในรัชสมัย จิ๋นซี ฮ่องเต้ ได้รับพระราชโองการให้ไปค้นหายาอายุวัฒนะ ซึ่งขุนนางเหล่านี้มีความรู้มากพอที่จะทราบว่ายาแบบนั้นไม่มีอยู่จรืง แต่ก็ต้องปฎิบัติตามรับสั่ง จึงล่องเรือมาจนถึงเกาะญี่ปุ่น พอมาถึงก็เลยตั้งรกรากและไม่กลับจีนอีก เพราะกลับไปก็โดนประหาร
กลับมาทางฮอกไกโด เรามาลงสนามบิน New Chitose = ชิโตเซะ คำนี้ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นแท้ๆ แต่มาจากคำภาษาไอนุครับ เพราะชาวไอนุเป็นผู้ที่อยู่อาศัยในฮอกไกโดมาแต่แรกแล้ว ปัจจุบันก็ยังใช้คำเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน โดยพบเห็นได้จากชื่อเมือง เช่น โทยะ โอตารุ ชิโตเซะ ซับโปโร
พอออกจากศุลกากร โดราเอมอนก็จะวิ่งมาต้อนรับครับ
เดินออกมาหน่อยจะเจอชุดโบราณค้ลายๆ กิโมโน และลวดลายแปลกๆ
ประตูก็มีลวดลายของชาวไอนุเช่นกัน
จากที่เราเห็นว่าลวดลายและศิลปะของชาวไอนุดังภาพ สถานที่ๆเราควรจะไปที่แรก ก็ควรจะเป็น หมู่บ้านชาวไอนุครับ เพื่อจะได้ทราบเรื่องราวและวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองฮอกไกโดนี้ให้มากขึ้น.....
ปัจจุบันชาวไอนุ มีประมาณ 3-4 หมื่นคนครับ วิถีชีวิตพวกเขาก็ไม่ต่างกับคนญี่ปุ่นปกติ จึงเหลือเพียงหมู่บ้านจำลองให้ได้เข้าไปเรียนรู้
พอเข้าไปก็จะพบรูปปั้นหัวหน้าเผ่าขนาดใหญ่ให้ถ่ายภาพ
ตั้งอยู่ริมน้ำลมดี
สภาพกระท่อมชาวไอนุครับ หลังคาคล้ายหลังคามุงจากเหมือนบ้านเรา
ช่วงที่ไปใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ใบเมเปิ้ลจะเห็นชัดเจนสุดครับ ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี เดิมเป็นเดือนตุลาคม แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้เริ่มเขยิบมาเดือนพฤศจิกายนแล้วครับ
มีบ้านให้เดินเข้าไปดูหลายหลัง แต่ละหลังจะมีคนแต่งตัวแบบชาวไอนุและดำเนินชีวิตแบบชาวไอนุสมัยก่อน เช่น ทอผ้า
ข้างๆจะมีแบบพิพิธภัณฑ์ด้วยจะทราบวิถีชีวิตชาวไอนุแบบละเอียดเลย
ชาวไอนุ จะล่าปลาแซลมอนในหน้าร้อนแล้วควักเครื่องในออก ทาเกลือและนำไปตากบนหลังคา พวกเขามักจุดไฟในบ้านทั้งปี พอจุดไฟทั้งปีเขม่าก็ปกคลุมไปรอบๆตัวบ้าน เป็นการรมควันป้องกันแมลงไปในตัว ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ดีครับ
สำหรับปลาแซลมอน ภาษาไอนุ เรียก คามุยชาบุ แปลว่า ปลาแห่งเทพเจ้า ครับ
ภาพผู้หญิงไอนุครับ ชาวไอนุเชื่อว่าผู้หญิงจะสวยนั้นต้องสัก โดยสักบริเวณปาก พอรอยสักเริ่มแห้งก็จะสักซ้ำไปเรื่อย ขยายพื้นที่สักไปด้วย มักสักรอบๆปาก
สุนัขพื้นเมือง ของชาวไอนุ ขนสีขาว ฟูๆ
ระหว่างทางจะเห็นทะเลครับ ซึ่งจริงๆแล้วคือมหาสมุทรแปซิฟิก
แวะทานอาหารร้านนี้ เป็นแนวเทอริยากิครับ ทำร้านได้น่าสนใจมาก นำเอาสัตว์ที่มีชื่อในภูมิภาคนี้มาตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็น ปูทาราบะ ปลาแซลมอน และหมีกริซลี
ขอจบตอน 1 แต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ และจะมารีวิวเพิ่มเติมครับ :)