คราวนี้ก็มาต่อกันกับวิถีชีวิตของคนมัลดีฟนะครับ เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมลูกค้าในเมืองมาเล่ครับ ซึ่งเค้าก็เปิดร้านอาหารร้านหนึ่งชื่อ King's Corner ในตอนแรกที่นัดกับลูกค้า เรานัดกันประมาณห้าทุ่ม ซึ่งสำหรับคนไทย มันไม่ใช่เวลาปกติที่จะมาคุยงานกันจริงมั้ยครับ แต่ทางคุณลูกค้าก็ตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร เพราะคนมัลดีฟนอนดึก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าดึกจริงๆครับ
เวลาในการทานอาหารกลางวันของคนมัลดีฟจะประมาณ บ่ายโมงถึงบ่ายสอง ซึ่งก็จะช้ากว่าเราประมาณ 2 ชั่วโมง ทำให้เวลาอาหารเย็นของเขาจะเริ่มประมาณสองทุ่มเป็นต้นไป เวลานอนเค้าจึงเลทยิ่งขึ้นไปอีกครับ ร้าน King's Corner เป็นร้านสร้างด้วยไม้ ให้กลิ่นไอแบบ vintage, old school ดีครับ ขายอาหารนานาชาติ เราไปตอนดึกแล้วจึงดูเงียบ ไม่คึกคัก
ฝั่งตรงข้ามมีมัสยิดด้วย สำหรับคนที่นี่ ที่เป้นมุสลิม จะไม่มีสุนัขให้เห็นเลย มีแต่แมว เดินทั่วไป และยังอาศัยในมัสยิดด้วย แต่ละตัวดูสุขภาพดี ไม่ผอมโซ น่าจะได้กินทูน่า่เยอะ
ขึ้นมาด้านบนก็เป็นปูนเปลือย วอลเปเปอร์ เปิดเพลงบรรยากาศสบายๆ สำหรับในมาเล่ จะไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะครับ หากใครอยากดื่มต้องข้ามไปอีกเกาะ ไว้เดี๋ยวเล่าในตอนถัดไป
เดินมาจนทั่วร้าน ก็มาถึงอาหารครับ
สำหรับเครื่องดื่ม ก็สั่ง Lassi ครับ เป้นโยเกิร์ตผสมเครื่องเทศเบาๆ ตามแต่รูปแบบที่สั่ง มีรสชาติออกไป 2 ทาง คือ หวานและเค็ม หากหวานจะใส่ผลไม้ เช่น มะม่วงลงไป ครั้งนี้สั่งแบบหวานเพราะไม่ถนัดแบบเค็มครับ เป็นโยเกิร์ตใส่ผลไม้ รสสดชื่นดี เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นของอินเดียแพร่มาครับ
อันนี้ คุณลูกค้าสั่งให้ครับ เรียกว่าโมรอคานา Morocana หากฟังผิดขออภัยครับ เป็นกาแฟชอต เอสเพรสโซ แต่มีฟองด้านบนตามรูป กินแล้วตื่นดี
จากเครื่องดื่มมาถึงมื้อดึกกันครับ น่าจะเป็นมื้อดึกที่สุดในชีวิต สำหรับเรื่องการทานอาหาร ชาวมัลดีฟจะใช้มือในการทานอาหาร เหมือนฝั่งอินเดีย และไทยในอดีตครับ ทานบนจานสแตนเลส ได้อารมณ์ไปอีกแบบเหมือนกัน
ถ้าอาหารไทย เวลาเราจะรับประทานมักทานคู่กับข้าวสวยร้อนใช่มั้ยครับ สำหรับอินเดียก็ต้องมีแป้งมาทานเคียงด้วย เช่น นาน หรือ จปาตี เป็นของทานเพื่อให้ได้คาร์โบไฮเดรต และยังใช้ช่วยกวาดจานให้สะอาดเรียบร้อยด้วยครับ เราก็ได้ทานกับจปาตีหลายแบบ ทั้งเนย แบบธรรมดา และใส่กระเทียม
สำหรับอาหารหลัก ก็๋จะมีปลาทอดที่ขาดไม่ได้เมื่ออยู่ทะเล
Butter Chicken หรือไก่ทิคกา มาซาร่า ครับ ร้านนี้ทำออกมาได้อร่อยมาก ได้ลองทานมาหลายที่ แต่ไก่ทิคกาของที่นี่หอมเนย และรสชาติกลมกล่อมมาก ใครมีโอกาสมาลองทานแนะนำครับ
ท้ายที่สุดก็ไก่ทันดูรีครับ ไก่ย่าง สีแดง แห้งกรอบ ไม่มันครับ ใครไม่ชอบมันๆน่าจะชอบ
เมื่อทานเสร็จคุณลูกค้าก็โชว์โต๊ะพูลของเค้าครับ แสดงให้เห็นว่าคนที่นี่ชอบเล่นกันมาก เพราะเห็นหลายที่เลย
คืนถัดมา เราก็มีโอกาสไปเยี่ยมคุณลูกค้าอีกท่าน ซึ่งอยู่เกาะใกล้กับมาเล่ครับ ชื่อว่าเกาะ Vilingili (วิลิงกิลิ) ครับ การจะข้ามไปอีกเกาะนั้น เราก็ต้องไปท่าเรือที่อยู่ด้านซ้ายล่างของมาเล่ครับ ไม่สามารถไปขึ้นท่าเดียวกับที่ไปสนามบินได้นะ วิธีการไปอาจจะได้ทั้งเดินสำหรับผู้ชอบออกกำลังกาย ซึ่งเหนื่อยกำลังดี หรือถ้ารีบหน่อยก็ขึ้น Taxi ราคาเดียว 25 รูฟียาครับ (แต่บางทีก็มีชาร์จเพิ่ม)
ผ่านสนามบอลตอนทีมชาติมัลดีฟ แข่งกับลาวครับ คนมาเชียร์กันมากมาย
และแล้วเราก็มาถึงท่าเรือครับ ค่าโดยสาร 3.25 รูฟียา ถ้าอยากแน่ใจว่ามาถูกมั้ยให้สังเกตตึกที่มีเสาอากาศสีแดงๆ สูงๆ เหมือนหอคอยโตเกียวครับ ถ้ามองเห็นตึกนั้นแปลว่ามาถูกท่าแล้ว
โอเคออกเดินทางกันได้แล้่ว ทะเลตอนกลางคืนก็ยังมีแสงสว่างไสวครับ
แม้จะมืดแล้ว แต่น้ำทะเลก็ยังสวยอยู่
บนเรือข้ามฝากครับ
ขอเทียบภาพที่นั่งของเรือตอนขากลับครับ
เมื่อข้ามมาวิลิงกิลิ ก็จะเจอร้านค้าแบบโบราณ ดูคลาสิค แต่ร้านอื่นๆก็ใหม่ เหมือนปกตินะครับ มีเฉพาะร้านนี้ ที่ดูโบราณ เมื่อมาถึงที่นี่ คุณจะรู้สึกว่าโลกกว้างขึ้นมาก เพราะในมัลดีฟนั้น เนื่องจากพื่นที่จำกัด ถนนหนทางก็แคบมากๆ เพราะคนอยู่กันหนาแน่น แต่พอมาเกาะนี้ พื้นที่ใช้สอยยังไม่เบียดเสียดกันนัก ทำให้ มีถนน ทางเดินกว้างๆ ตึกใหญ่ๆ ลานต้นไม้ และลานกิจกรรมต่างๆ ที่กว้างกว่ามาเล่มากๆครับ ใครรุ้สึกอึดอัดในมาเล่ ลองออกมาเกาะใกล้ๆนี้ดู ใช้เวลา 10 นาทีครับ เรือออกบ่อยมาน่าจะ ทุก 15 นาที
มีลูกมะพร้าวขาย คนที่นี่นิยมใช้มะพร้าวผสมลงในอาหารต่างๆ ถ้าอินเดียชอบใส่มาซาร่า คนมัลดีฟก็ต้องชอบใส่มะพร้าวนี่ละครับ
หลังจากได้คุยกับคุณป้า คุณป้าก็แนะนำขนมของมัลดีฟให้ลองกันครับ อย่างแรกคือ ชอคโกแลตมัลดีฟ (เค้าเรียกให้เข้าใจง่าย) จริงๆ คือมะพร้าวอ่อนที่เค้าขูดเนื้อออกมาและเคี่ยวกับส่วนผสมอื่นๆ น้ำตาลด้วย และรอให้มันแข็ง จากนั้นห่อด้วยใบตองเหลือใบมะพร้าว เก็บได้เป็นเดือน สีจะออกน้ำตาลรสชาติคล้ายกาละแม ตังเมครับ
อีกอันที่เค้าให้ลองคือ ถั่วเขียว แต่ไม่ได้ต้มน้ำตาล คั่วเกลือแทน แข็งๆเค็มๆ ครับ
ระหว่างทางเดินไปยังบ้านคุณลูกค้า
Sea House ก็มาเปิดสาขาที่นี่ด้วยครับ
มีมัสยิดด้วย ซึ่งมัสยิดของมัลดีฟ จะไม่มีโดมหัวหอมแบบที่เรามักเห็นที่บ้านเราครับ เป็นหลักคาเรียบๆแทน
หลัวจากมาถึงบ้านคุณลูกค้า เค้าก็ให้แม่บ้านชงชานมให้ครับ ชานมอินเดีย รึ ชาแขกเวลาได้ทานจะรู้สึกว่ามันเข้มข้นมาก พยายามจะชงเลียนแบบ ก็ไม่เคยสำเร็จซักที มันเข้มข้นสู้เค้าไม่ได้เลย และในที่สุดก็ทราบว่าต้องทำอย่างไรแล้วครับ
ตัวที่ทำให้ชานั้นเข้มข้น นั่นก็คือ นมผงครับ เมื่อได้ลองทานจะรู้สึกถึงความเขมข้น หวานอร่อย แต่ค่อนข้างลูกสึกว่าน้ำตาลเยอะมาก เมื่อได้เห็นเบื้องหลังครับ
จากนั้นก็ได้ลองทานอาหารมัลดีฟแท้ๆครับ
มาลองดู และรู้จักชื่อของอาหารเหล่านี้กันนะครับ ซึ่งรูปแบบก็มีความคล้ายคลึงกับอินเดียนะ อย่างแรกคืออันที่เกริ่นไป นั่นก็คือ ชานม ที่ใส่นมผงเพิ่มความเข้มข้น ถ้าไทยก็ใส่นมข้น
อาหารมาเรียงกัน อันที่เป็นเหมือนแป้งโรตี จปาตี เค้าจะเรียกว่า Roshi ครับ
ซึ่งก็ยังนิยมนำมาจิ้มกับน้ำผึ้งมะพร้าว Coconut Honey (เค้าเรียกกัน) มีรสหวาน คล้ายน้ำผึ้ง หวานน้อยกว่าหน่อยแต่รสชาติเข้มข้น แนะนำให้ลอง และถ้ามีโอกาสลองซื้อกลับนะครับ เป็นน้ำหวานที่ทำจากมะพร้าว บางแห่งเรียก Coconut Nectar
ถัดมาเป็นแกงกะหรี่ใส่ตับครับ
จานนี้จะเรียกว่า ลาบทูน่าก็ไม่ผิดนัก เป็น เนื้อทูน่าใส่เครื่องเทศคล้ายลาบ โรยมะพร้าว ชื่อ Mashuni
มารู้จักชื่ออาหารมัลดีฟกันซักเล็กน้อย ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายเจาะทีละชนิดนะครับ
เริ่มจากขวาบนที่คล้ายโรตี : ชาวมีลดีฟเรียกว่า Roshi ซึ่งก็คือโรตีสไตล์มัลดีฟ
อันที่เป็นกลมๆ พองๆสีครีม คล้ายโรตีเช่นกัน เรียก Mas Roshi
พวกของทอดอื่นๆจะเป็นเนื้อปลาทอด Cutlet และของใส่ไส้ทอดอื่นๆ ทั้งเนื้อสัตว์และผัก รสชาติคล้ายอาหารอินเดีย แต่รสไม่จัดเท่าครับ
คุณลูกค้ากรุณาเขียนชื่อให้ แต่อ่านไม่ค่อยออก :D
ปิดท้ายด้วยขนม อันด้านซ้าย นุ่มๆคล้ายๆวาราบิของญี่ปุ่นมีรสมะพร้าว อีกอันรสชาติคล้ายชีสเค้ก ทำจากโยเกิร์ตครับ เป็นขนมที่อร่อยดี ไม่หวาน
อาหารมัลดีฟก็อร่อยดีนะครับ ใครอยากลองอาหารแขกแต่กลัวความจัดจ้าน เริ่มต้นจากอาหารมัลดีฟก็ดี อยู่ในระดับที่รสไม่จัดเกินไป แต่อาจจะหายากในไทยซักหน่อย รีวิวหน้าไปสำรวจเกาะอื่นๆกันดูบ้างครับ