เวลาเหนื่อยจากการทำงานเราคิดถึงที่ไหนกันครับ ภูเขา ทะเล หรือต่างประเทศ.....? เรามักเจอคำพูดอยู่บ่อยๆ ว่าร่างกายต้องการทะเล หรือ วิตามิน sea นั่นแปลว่าทะเลสามารถรักษาความเหนื่อยล้าของเราได้เป็นอย่างดี และถ้าพูดถึงการไปเที่ยวทะเลในไทย พวกเราคงนึกถึงพัทยา บางแสน ภูเก็ตและเกาะสมุย น้ำสีฟ้าใสๆ หาดสวยๆ แต่ถ้าหากพูดถึงทะเลที่ต่างประเทศ ที่แรกๆที่เรานึกถึงก็คงไม่พ้น มัลดีฟ ครับ รีวิวต่อไปนี้มาพูดถึงมัลดีฟในหลายๆมุมมอง เพื่อให้ทุกท่านที่กำลังตัดสินใจจะไปเที่ยว ได้ไอเดียที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นนะครับ
การเดินทางไปมัลดีฟจากประเทศไทย : มีสายการบินที่บินตรงเลยคือ บางกอก แอร์เวย์ครับ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ไปลงที่มาเล่ เมืองหลวงของมัลดีฟครับ
การทำวีซ่า : มัลดีฟ เป็นประเทศที่ไม่ต้องทำวีซ่า สำหรับคนไทยนะครับ แต่พาสปอร์ตต้องอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
สกุลเงิน : Rufiyaa (รูฟิย่า) อัตราแลกเปลี่ยนกับ บาทไทยในปัจจุบัน ประมาณ 2.3 บาท : 1 รูฟิย่า
หัวปลั๊ก : ใช้หัวปลั๊ก 3 ขาแบบเดียวกับอังกฤษครับ
ข้อมูลประชากร : เป็นมุสลิมเกือบ 100 % ประชากรส่วนใหญ่ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะสื่อสารไม่รู้เรื่อง
ความต่างของเวลากับไทย : (GMT +5) เวลาช้ากว่าไทย 2 ชั่วโมงครับ
อากาศ : อากาศแบบทะเลบ้านเรา ประมาณ 30 องศาตลอดปี แต่อาจมีมรสุมบ้างช่วงปลายปี ซึ่งก็จะได้ราคาห้องพักที่ถูกลง
หลังจากบินประมาณ 4 ชั่วโมง ถ้าเรามองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน เราก็จะเห็นหมู่เกาะต่างๆของมัลดีฟ ซึ่งมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์แบบในรูปครับ ด้วยความลึกของน้ำและหาดทรายที่สูงต่ำไม่เสมอกัน ทำให้เราเห็นผืนน้ำและผืนดินที่ไล่สีและมีความสวยงาม
เมื่อมาถึงสนามบิน สนามบินจะเป็นทั้งส่วนเปิดโล่งและในห้องปรับอากาศครับ เมื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ก็จะออกมายังส่วนเปิดโล่ง ได้อารมณ์เหมือนอยู่ในรีสอร์ทครับ
เมื่ออกมาด้านนอกแล้ว สิ่งแรกๆที่ทุกคนกังวลคือจะใช้อินเตอร์เนตได้หรือไม่ และจะแลกเงินอย่างไร ด้านหน้าสนามบินมีบริการทั้ง sim card และ ที่แลกเงินนะครับ สำหรับคนที่ชอบความสะดวก
ด้านการใช้มือถือ มัลดีฟ มี 2 ค่าย คือ Ooredoo และ Dhiraagu ซึ่ง Dhiraagu เคลมว่าเป็นเจ้าที่เป็นผู้นำของที่นี่ครับ
บรรยากาศที่สนามบินครับ
เมื่อออกจากสนามบินจะมี 2 ทางเลือกนะครับ ว่าเราจะไปไหนต่อ
1. หากเราจองแพคเกจกับทางโรงแรมต่างๆ (ที่ดังๆสำหรับคนไทย เช่น เซนทารา) ก็ให้เดินหาตามเคาท์เตอร์ต่างๆของโรงแรม ซึ่งจะเรียงกันมากมายดังภาพ โดยสังเกตจากภาพบนเคาท์เตอร์นั้น ถ้าตรงกับโรงแรมที่เราได้จองไว้ก็เข้าไปคุยกับพนักงานต้อนรับได้เลยครับ ซึ่งการเดินทางไปโรงแรมเหล่านั้นก็จะมีทั้งเดินทางด้วยเรือ Speed Boat ไปจนถึง Sea Plane ขึ้นอยู่กับระยะทางของโรงแรมและราคาของแพคเกจครับ
สำหรับโรงแรมที่ราคาแพงขึ้นมาหน่อย จะมีเล้าจน์รับรองระหว่างที่รอพนักงานจัดเตรียมยานพาหนะเพื่อไปส่งที่โรงแรม
บริเวณด้านนอกยังมี Burger King, Swensen และ The Coffee Club บริการด้วยครับ หากใครอยากทาน ที่มาเล่ไม่มีร้านเหล่านี้นะครับ :)
ตรงทางออกจะเห็นสัญลักษณ์ Maldive 50 Years of Independence เพื่อเฉลิมฉลองเอกราชของมัลดีฟ เพราะเคยเป็นดินแดนในอารักของอังกฤษครับ
ยังไม่ได้พูดถึงชื่อสนามบินกันเลย สนามบินนานาชาติของมัลดีฟ ชื่อ อิบราฮิม นาเซอร์ ครับ ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติสำหรับประธานาธิปดีคนที่ 2 ของมัลดีฟ
เมื่อออกมาด้านนอก สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดไว้คือ น้ำทะเล ในบริเวณรอบสนามบินนั้นมีความสวยงามมาก ใสและมีสีที่สวยงาม ไม่น่าเชื่อว่าทะเลในเขตเมืองยังคงความใสสะอาดได้ขนาดนี้
สำหรับท่านที่เดินทางไปโรงแรมโดยตรงเลยก็จะขึ้นเรือหรือเครื่องบินของทางโรงแรมไป แต่ยังมีอีกส่วนคือ
2. เดินทางข้ามไปเกาะมาเล่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ขนาดเล็กมากๆ ประมาณ 3 สนามฟุตบอลครับ การเดินทางจะใช้เรือข้ามฟาก หรือ เรือเฟอร์รี่ ราคา 10 รูฟีย่า เมื่อขึ้นเรือ หากใครมีสัมภาระ ก็จะมีพนักงานช่วยลำเลียงของดังภาพ
ระหว่างข้ามฝาก
มองย้อนกลับมาที่สนามบิน
นั่งเรือประมาณ 10 - 15 นาที ก็จะข้ามฝั่งมายังมาเล่ครับ มาเล่เป็นเมืองหลวงที่มีขนาดเล็กมากอันดับต้นๆของโลก มีประชากรที่หนาแน่นและค่าครองชีพไม่แพ้โตเกียวเลย รูปทรงของเกาะเป็นทรงคล้ายวงรี
เรือเฟอรร์รี่ที่ข้ามฝั่งครับ มองกลับไปก็ยังเห็นน้ำสวยมาก
ในมาเล่ พื้นที่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ถนนค่อนข้างแคบมาก ยานพาหนะหลักจึงเป็นมอเตอร์ไซค์ ขนาดของถนนที่ใหญ่สุดก็ประมาณถนน 2 เลนในไทยครับ
ภาพรอบๆมาเล่ มีสนามกีฬา Ooredoo ผู้บริการเครือข่ายอีกรายของมัลดีฟ
ขับรถผ่านจตุรัสของเมืองครับ ขนาดค่อนข้างเล็กมาก
ตามตรอกซอกซอยต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย
ร้านค้าส่วนใหญ่ในเมืองปิดค่อนข้างดึก เมื่อเทียบกับยุโรป แต่ก็ไม่ถึงกับ 24 ชั่วโมงครับ คนที่นี่นอนกันดึก ทานอาหารเย็นกันค่อนข้างเลทเมื่อเทียบกับคนไทย มีร้านล้อเลียน 7-11 ด้วยครับ
ก่อนจบรีวิวนี้ ก็พาไปรีวิวร้านอาหารร้านหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง และเป็นที่กล่างถึงจาก web ต่างๆ เช่น Trip advisory หรือจากคนทั่วไปแนะนำ นั่นคือ Sea House ติดท่าเรือที่ลงเลยครับ
ร้านมี 2 ส่วนคือ indoor และ outdoor ใครอยากดื่มด่ำกับลมทะเล ก็ไปนั่ง outdoor ได้ครับ ถ้าเป็นช่วงพระอาทิตย์ตก อากาศกำลังสบาย ฟ้าก็จะสวยครับ แต่โชคร้ายที่วันที่มาฝนกำลังจะตก
ส่วน outdoor มีผ้าใบขึงสวยดี ชมวิวทะเลไปทานอาหารไป เสียดายที่ฟ้าครึ้ม
เมนูของร้าน ก็จะมีหลายอันที่แปลกและหาทานยากในไทยครับ
- โซดามะนาว ทำออกมาน่าสนใจมากที่ตรงมะนาวฝานทำออกมาเหมือนพระอาทิตย์
Water Melon Float น้ำแตงโมโฟล๊ต ก็ไม่เคยเห็นมีในไทยนะครับ
มามัลดีฟแล้วก็ต้องลองวัตถุดิบที่มีชื่อของที่นี่ นั่นคือปลาทูน่าครับ ที่นี่เป็นทูน่าหางเหลืองนะครับ
- เคบับปลาทูน่า เนื้อแน่น เหมือนเนื้อหมูเลย นำมาทำและราดซอสแบบเคบับ ก็อร่อยดี
- พิซซ่าหน้าปลาทูน่า รสชาติของปลาทูน่ากับชีสก็เข้ากันได้ดี กรอบอร่อยไม่ผิดหวังครับ
น้ำดื่ม แบรนด์ที่คนนิยมของที่นี่ คือ Bon Aqua แบรนด์น้ำที่มีขายแถบยุโรปเช่นกัน ผลิตโดยบริษัท Coca Cola แต่ของที่นี่จะเท่กว่าเพราะเป็น Bon Aqua Silver
เมื่อทานอาหารเสร็จก็ลองหาขนมหวานตาม super market ในเมืองดู ก็มาเจอกับ Viennetta ครับ ใครที่เกิดช่วงปี 90 น่าจะจำไอศครีมนี้ได้ สมัยก่อนราคาค่อนข้างสูง สำหรับไอศครีมทั่วไป แต่ก็เป็นที่นิยมและชื่นชอบของเด็กๆ ใครคิดถึงก็มาทานที่นี่ได้ครับ :)
ในตอนต่อๆไปก็มาผ่อนคลาย และเรียนรู้วิถีชีวิตในมัลดีฟ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ หรือเก็บไว้เผื่อเป็นแนวทางในการเดินทางไปมัลดีฟกันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น