จากที่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับมาเล่ไปบางส่วนแล้ว วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวเกาะกันบ้างครับ เป็นที่ทราบกันดีว่ามัลดีฟเป็นประเทศที่เป็นเกาะ ประเทศนี้จึงมีเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายเป็นพันเกาะ เรียงเป็นทางยาวแนวตั้ง เกาะที่กระจุกตัวรวมกันจะเรียกว่า Atoll เกิดจากแนวปะการัง ซึ่งเติบโตได้ดีในภูมิอากาศเขตร้อน แนวปะการังที่เจริญเติบโตได้ดี ทำให้พื้นดินยุบจมลงไป เกาะที่เคยมีขนาดใหญ่ก็ค่อยๆเล็กลง และขาดออกจากกัน ทำให้เราเห็นว่ามันเป็นหมู่เกาะ
สำหรับเกาะที่จะไปในครั้งนี้ เป็นเกาะ Kandooma ซึ่งอยู่ทางใต้ของมาเล่ ถ้าดูจากแผนที่จะเป็นเกาะเดี่ยวๆ ไม่ได้เป็น Atoll ครับ
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง ก็คือสนามบินมัลดีฟ ตามที่เคยพูดถึงในรีวิวแรก ว่าจะมีเคาท์เตอร์โรงแรมต่างๆ คอยต้อนรับแขก ก็เดินหาเคาท์เตอร์ของโรงแรมกันครับ ในมัลดีฟส่วนใหญ่ 1 เกาะ จะมี 1 โรงแรมนะครับ และเกาะ Kandooma นี้ก็จะมี Holiday Inn Resort Kandooma
เคาท์เตอร์ของโรงแรม ออกมาจากด้านในสนามบิน ก็มาทางขวา ตรงมุมติดกระจก หาไม่ยากครับ
หลังจากได้คุยกับพนักงานแล้ว ก็อาจจะต้องรอซักครู่หนึ่งเพื่อรอผู้โดยสารเดินทางไปด้วยกันครับ ระหว่างนี้ก็เดินดูวิวทะเลของสนามบินรอได้ครับ วิวสวยใช้ได้
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พนักงานของโรงแรมก็จะเชิญไปที่เรือครับ เป็นเรือ Speed Boat ก่อนขึ้นเรือพนักงานก็จะให้ใส่เชื้อชูชีพเพื่อความปลอดภัย เสื้อชูชีพยังใหม่สภาพดี ไม่สกปรกครับ
ระหว่างนี้ก็รอพนักงานช่วยขนสัมภาระขึ้นเรือ
เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันครับ
เห็นวิวของมาเล่ด้วย
แรกๆเรือจะสั่นนิดหน่อย เนื่องจากอาจจะยังทำความเร็วไม่ได้ แต่พอแล่นเรือมาซักพักก็จะนิ่มครับ สีของทะเลก็จะเริ่มเปลี่ยนไป
ผ่านรีสอร์ทอื่นๆ
บางจุดก็จะเห็นน้ำทะเลที่สีต่างออกไป เพราะความลึก สันทราย แนวปะการัง บางจุดจึงเป็นสีเทอควอยส์สวยมากๆครับ
เรือก็มี GPS บอกตำแหน่งเช่นกันเหมือนขับรถ
เกาะสวยๆก็มีให้เห็นมากมาย
รีสอร์ทอีกแห่ง ซึ่งรีสอร์ทส่วนใหญ่ของมัลดีฟมักจะแยกเป็นหลังๆและห่างๆกัน เพื่อให้แขกมีพื้นที่ส่วนตัวกันมากยิ่งขึ้น ไม่แปลกเลยที่คนส่วนใหญ่นิยมมาฮันนีมูนกันครับ
นั่งเรือมาเพลินๆ ประมาณ 40 นาที แม้เสียงเรือ speed boat อาจจะดังไปบ้าง จนคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่ระหว่างที่ได้นั่งดูวิวทะเลระหว่างทาง คิดว่าหลายๆท่านน่าจะพบกับความรู้สึกสงบ และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีครับ
ใกล้ถึงโรงแรม น้ำทะเลเปลี่ยนสีอีกแล้ว
น้ำทะเลสีสวยมากครับ เป็นเทอควอยส์อ่อนที่สดใส
ป้ายหน้าโรงแรม
ใกล้เทียบท่าของโรงแรมแล้ว มองไปอีกฝั่ง จะเห็นเรือที่มีหัวเรือแปลกๆ นั่นคือเรือ Dhoni Boat ซึ่งมีเป็นเรือพื้นเมืองของมัลดีฟ มีไว้สำหรับหาปลา แต่ปัจจุบันก็นำมาใช้ด้านการท่องเที่ยวครับ
เรือมาจอดที่ท่าเทียบเรือของโรงแรมเรียบร้อย วันนี้มีพนักงานมาต้อนรับกันอลังการมาก เนื่องจากเชฟของทางโรงแรมได้รางวัลในการแข่งทำอาหารมา บรรดาพนักงานในห้องอาหารก็เลยมารวมตัวกันต้อนรับ แสดงความยินดี
หันไปมองวิวสวยๆจากท่าเรือครับ
จากท่าเทียบเรือ เดินไปอีกนิดก็จะมีศูนย์ให้บริการอุปกรณ์ดำน้ำ สำหรับใครที่อยากดำน้ำ ก็มีบริการให้นะครับ
เมื่อชมวิวรอบๆเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องนั่งรถกอล์ฟที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้แขกที่เข้าพักครับ
ระหว่างนั่งรถ เรามาศึกษาเกาะ Kandooma นี้กันคร่าวๆก่อนนะครับ จากแผนที่ของทางโรงแรมด้านล่าง จะเห็นว่าเกาะนี้เป็นเกาะที่ไม่ใหญ่มาก สามารถเดินเล่นได้รอบเกาะ และทั้งเกาะเป็นของทาง Holiday Inn ครับ
จากแผนที่ เราเดินทางจากมาเล่ ไปยังส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของแผนที่ ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือ และนั่งรถกอล์ฟของทางโรงแรม เลาะมาตามทาง ไปสู่ลอบบี้ ตรงแถวตะวันตกของตัวเกาะครับ
ระหว่างนั่งรถก็รับลมทะเลเย็นๆ (ท่ามกลางแดดจัด) ไปเพลินๆนะครับ ทะเลที่นี่แม้จะร้อน แต่ไม่ค่อยเหนียวตัวเท่าบ้านเราครับ
ผ่านตึกทรงคล้ายๆประภาคาร
มาถึงส่วน Lobby และ Reception
มาถึงที่จุดต้อนรับ สามารถมองกลับไปยังท่าเรือที่เราขึ้นรถมาได้ครับ
เมื่อมาถึงก็จะมี Welcome Drink เป็น Fruit Punch เย็นๆ มาสร้างความสดชื่นให้แขกที่มาเข้าพักครับ
เสิร์ฟผ้าเย็น
Gimmick เล็กๆน้อยๆ ที่ดูน่ารัก ระหว่าง Check in ก็คือ ทางโรงแรมจะแนบใบไม้ที่มีชื่อของแขกมากับแฟ้มที่กรอกข้อมูลในการ Check in ครับ น่ารักดี
บรรยากาศ Lobby Check in เป็น Double Volume เพดานสูงโปร่ง ทำให้อากาศร้อนลอยขึ้นด้านบน จึงนั่งได้อย่างสบายไม่ร้อน แม้จะเปิดโล่งแบบ Open Air ครับ
รอบๆก็ใช้งานไม้สานมาบุกำแพง ให้ความรู้สึกแบบ local และธรรมชาติ
เพดานเป็นกระจก ทำให้ได้แสงธรรมชาติในช่วงกลางวัน
ตรงล็อบบี้ก็จะมีบาร์เล็กๆให้สังสรรค์กันได้เช่นกันครับ
แล้วก็เบรคสีแบบ Earth Tone ด้วยเก้าอี้สีเทอควอยซ์สดใส ที่ให้อารมณ์ของทะเลได้เป็นอย่างดี
ขึ้นมาชั้นบนก็มีห้องนั่งเล่น ห้องอ่านหนังสือและเกมส์รูมครับ
เกมที่มีให้เล่นคือ ฟุตบอล กับพูลครับ อุปกรณ์หยิบใช้ได้เลย
มองออกไปจะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำและบาร์ริมสระ
ซึ่งตัวสระเองก็อยู่ใกล้ๆกับทะเลเลยครับ
เมื่อ Check in เสร็จแล้ว หากใครเริ่มหิวก็สามารถเดินข้ามฝั่งมารับประทานอาหารได้ที่ Kandooma Cafe โดยรูปทรงของห้องอาหาร จะคล้ายกับบ้านของชนพื้นเมืองมัลดีฟ ส่วนกระเป๋าทางโรงแรมจะนำไปเก็บที่ห้องให้ก่อนครับ
ข้างๆ Kandooma Cafe ก็มีส่วนน้ำเล็กๆ และห้องกิจกรรมให้เด็กๆได้เล่นกัน ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ Holiday Inn Resort Kandooma ต่างจากรีสอร์ทอื่นๆในมัลดีฟ เพราะมีส่วนสันทการให้กับเด็กๆและครอบครัวครับ นอกเหนือไปจากการต้อนรับคู่รักที่มาฮันนีมูนครับ
ก่อนหาอะไรทาน เอาของไปเก็บที่ห้องกันก่อนครับ สิ่งหนึ่งที่หลายๆคนชอบลุ้น เมื่อมาพักในโรงแรม นั่นก็คือ ตื่นเต้นที่อยากจะเห็นว่าห้องที่ตัวเองเข้าพักนั้นจะเป็นอย่างไร
นั่งรถผ่าน The Dock Bar มุ่งเข้าสู่ดงไม้ครับ รูปแบบการเรียงห้องพักของที่นี่นั้นจะเรียงเป็นแนวรอบเกาะ และปล่อยตรงกลางเป็นพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ใหญ่ ห้องพักส่วนใหญ่จึงใกล้ทะเลครับ
มองเห็น cafe จากด้านหลัง
ดูไปก็คล้ายลูกมะพร้าว
ใกล้ถึงห้องแล้ว
มาถึงห้องพักแล้วครับ อันนี้เป็นแบบบ้านแฝดติดกัน 2 หลัง
ภายในห้องเป็นโทนสีขาวครีม และฟ้าเทอควอยซ์น้ำทะเล พื้นเป็นแผ่นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนเดินบนสะพานไม้ริมทะเล แอร์เย็นฉ่ำเปิดรอไว้ ให้ความรู้สึกสบายและน่านอนมากๆครับ
ที่นี่ชอบใช้วัสดุเรซิ่นโปร่งแสง และใส่ไฟข้างใน ซึ่งทำให้ไม่ต้องวางโคมไฟ และยังน่าสนใจอีกด้วย
หากออกมาอีกด้านของห้อง (หรือบ้าน) ซึ่งหากเป็นโรงแรมทั่วไป จะเป็นระเบียงชมวิว แต่เนื่องจากที่นี่เป็นบ้าน เมื่อออกมายังเฉลียง ก็จะมีที่นั่งพักผ่อนรับไอทะเล และมีเปลญวนให้นอนเล่นอ่านหนังสือไป ฟังเสียงคลื่นไป ผ่อนคลายได้ทั้งวันเลยครับ
มาสำรวจมุมอื่นๆ ของห้องกันดีกว่า ในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ไว้มากมาย ทั้งทีวีและดอคเอาไว้ต่อเพื่อเปิดเพลงครับ
รีโมทอุปกรณ์ต่างๆเรียงบนถาดให้หยิบได้สะดวกครับ
มินิบาร์ก็มีไว้ให้บริการ มีแม้กระทั่งขวดเชค ทำให้สามารถทำเครื่องดื่มที่ชื่นชอบเองได้
ถ้าอยากจิบกาแฟ ฟังเสียงคลื่น ก็มีการแฟ illy ให้บริการเป็น Compliment
หากใครอยากจะพักผ่อนแบบเงียบๆ แบบยาวๆวันนึงเต็มๆไม่ออกจากห้องไปเจอใคร ในตู้เย็นและตู้ก็มีอาหารบริการไว้มากมายครับ
มีแอลกอฮอล์และบะหมี่สำเร็จรูป
ส่วนใครลืมยากันยุง ครีมกันแดด ลิปมัน น้ำแร่ฉีดหน้า ทางโรงแรมก็มีบริการเช่นกันครับ
ย้ายมาดูตู้เสื้อผ้ากันบ้าง มีผ้าขนหนูผืนใหญ่นุ่มๆ เตรียมไว้ให้ลูกค้าที่จะไปว่ายน้ำที่สระหรือทะเล เสื้อคลุม และยังมีรองเท้าแตะด้วย ถ้าของใช้พื้นฐานนี้มีมาให้เกือบครบเลยครับ ถ้าลืมของเล็กๆน้อยๆนี่สบายใจได้เลย
เก้าอี้แต่งตัวเป็นแบบง่ายๆ เหมือนเก้าอี้กองถ่าย หรือ Director Chair
แง้มดูห้องน้ำกันครับ ห้องน้ำเป็นส่วนที่อยู่นอกตัวบ้าน เรียกว่าเป็น Outdoor นั่นเอง แต่ก็มีผนังสูงโดยรอบไม่ต้องกังวลครับ ข้อดีคือสามารถอาบน้ำท่ามกลางดวงดาวได้
ในห้องน้ำแม้จะ outdoor ก็จะมีส่วนที่มีหลังคาซึ่งแม้ฝนจะตกก็ไม่เกิดปัญหาอะไร นั่นคือ ส่วนอ่างล้างหน้าครับ สำหรับบริเวณฝักบัวจะเป็นส่วนเปิดโล่ง มีฝักบัวทั้งแบบปกติและ Rain Shower ซึ่งถ้าทำให้ได้อารมณ์เหมือนอาบน้ำฝนกลางแจ้งอยู่จริงๆ
บริเวณใกล้ๆฝังบัวมีราวตากผ้าไว้ให้ ตากผ้าแห้งเร็วทันใจแน่นอนเพราะแดดจัดมาก
บริเวณขอบพื้นไม้จะมีปะการังสีขาวมาเรียงไว้ด้วย ได้อารมณ์ทะเลมากๆ
หากเบื่ออาบฝักบัวแล้ว ก็แช่ตัวอาบน้ำได้ครับ ตัวก๊อกจะทำออกมาคล้ายน้ำตก แต่น้ำไม่ได้ไหลแรง เป็นน้ำไหลแบบไม่กระเซ็น กระเด็นออกไปข้างนอกถือว่าเป็น Gimmick อย่างหนึ่ง
ขวดสบู่ต่างๆ แชมพู ครีมนวด สบู่เหลว ปิดด้วยจุกก๊อก
มีผ้าเช็ดตัว เช็ดหน้านุ่มๆบริการ แทบไม่ต้องขนอะไรมาเลย
.
ขวดเรซิ่นสวยๆ ของเราก็เข้ากับอ่างเหมือนกัน :D
ชมห้องและพักผ่อนมาซักพักแล้ว ทีนี้มาชมวิว ทะเล และสูดกลิ่นไอบริสุทธิ์กันครับ แน่นอน มาเกาะแบบนี้ อากาศดีมากๆ แสงแดดจัดๆ ทำให้ฟ้าสีครามและทะเลสีเทอควอยซ์แจ่มชัดเป็นเอกลักษณ์ของมัลดีฟ
ศาลาริมทะเล ม่านขาวพริ้วๆ ถ้าสาวๆได้เห็น ก็คงอยากจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแน่ๆครับ
มองดู ทะเลสีคราม ช่วยให้ผ่อนคลายมากๆครับ
ท่าเรือก็ยังมี Dhoni Boat จอดอยู่ไกลๆ
ดื่มด่ำกับวิวซักพัก ก็เริ่มหิวไปหาอะไรทานกันครับ เดินมาตรงจุดเริ่มต้นอีกครั้ง โซนสระว่ายน้ำ จะมีห้องอาหาร 2 ห้อง ห้องที่เดินผ่านจะเป็นห้องที่จ่ายเพิ่ม เสิร์ฟพวก Pizza และ Ice Cream ครับ แต่เราไม่ได้ทานห้องนี้ ไปทานที่ Kandooma Cafe ห้องใกล้ๆกัน ซึ่งจะสามารถทานได้ฟรี หากเราจ่ายแบบ all in แล้ว
โซนสระน้ำที่เสิร์ฟ Pizza
ริมสระก็มีบาร์เสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นๆ หลังจากว่ายน้ำเหนื่อยๆ
เดินเล่นรอบสระแล้วไปที่ Kandooma Cafe กันครับ
ร้านอาหารเป็น Open Air ทั้งหมดเลย มีพัดลมเป่าตลอด ไม่ร้อนจนเกินไป
อาหารที่เสิร์ฟ เป็น Buffet นานาชาติเลย มีอาหารจีน พวกติ่มซำ ของทอดด้วย
Bakery โดนัทต่างๆ ให้เด็กๆได้ทานกัน
มี Cereal และ Pancake ให้เด็กๆ เช่นกัน แอบทานแพนเค้กไป อร่อยดีครับ
โจ๊กและปาท่องโก๋ก็มี น่ารักมาก
เนื้อสัตว์เย็นๆ เสิร์ฟแบบ Cold Cut ก็มีเช่นกัน
นมสดต่างๆ
สำหรับใครที่ชอบฟองดูชอคโกแลต คงจะตื่นตาตื่นใจกับเจ้าเครื่องตัวนี้มาก
เดินกลับมาฝั่งห้องอีกห้องหนึ่งริมสระร่มรื่นดีครับ
มีแก้วสีน้ำเงินใสเพื่อแบ่งโซนชัดเจน
อิ่มแล้วก็ไปเดินสำรวจเกาะกันครับ มาเริ่มจากสระว่ายน้ำด้านหน้า cafe ติดทะเล สระน้ำทำจากกระเบื้องโมเซสชิ้นเล็กๆวางสลับสีกัน สวยดี
หากใครเบื่อเล่นน้ำในสระแล้วก็ขึ้นจากสระและเดินตรงมาที่ทะเลกันเลยครับ หาดทรายกว้างมากรอบตัวเกาะ เห็นวิวทะเลอย่างน้อยๆก็ 180 องศา เดินเลาะมาทางขวาไปสำรวจตรงท่าเรือกันอีกซักครั้ง
Gimmick ของรองเท้าแตะที่นี่คือพื้นรองเท้าจะมี wording เป็นชื่อโรงแรม เมื่อเหยียบบนผืนทราย จะหลายเป็นคำว่า Holiday Inn (ต้องเหยียบ 2 ข้าง)
หันไปมองด้านซ้ายก็เป็นท่าเรือเล็กไว้ไปทำกิจกรรมกลางทะเล
มองกลับมาที่จุดหมายที่เราจะเดินไปกันครับ
ถ้าจะเดินไปท่าเรือ เราก็จะต้องเดินผ่าน Kandooma Cafe และส่วน Reception ครับ ดูแล้วก็เหมือนลูกมะพร้าวยักษ์ปักบนดิน
เดินไปอีกหน่อยจะพบกับ The Dock เป็น Fine Dining ของที่นี่ เหมาะที่จะมาตอนกลางคืนเพราะวิวสวย
เดินข้ามสะพานไม้ ลมพัดโกรกหน้า แดดจัด ฟ้าและทะเลสีสดใสเป็นภาพที่สวยงามครับ สูดโอโซนได้เต็มปอด ไม่ต้องกลัวว่าจะมีมลพิษเลย
ตรงส่วนด้านหลังของท่าเรือ จะเป็นส่วนที่เห็นทะเลมุมกว้าง และจะเห็นเรือคมนาคมกันพอสมควรทั้งเรือที่มายังเกาะเองและเรือของโรงแรมอื่นๆที่ผ่านมาและก็สามารถเห็นเกาะใกล้ๆกันได้
เดินมาตรงด้านหน้าก็จะเห็นส่วนของโรงแรมของเราครับ
ใต้ท่าเรือมีบันไดลงไปได้ครับ แต่ไม่ได้ลงไป
เมื่อสำรวจท่าเรือกันเรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่อื่นกันต่อครับ
เดินกลับมาแถวสระว่ายน้ำจะพบอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมทางน้ำมากมายไว้คอยให้บริการ แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะครับ มีทั้งเสิร์ฟบอร์ด บานาน่าโบ้ต และแม้กระทั่งเวคบอร์ด
คราวนี้ไปสำรวจดูที่อื่นๆกันต่อ
วิลล่าริมทะเล ออกมาก็เห็นทะเลเลย ขนาดใหญ่พอสมควร สามารถมาอยู่เป็นครอบครัวได้
แต่ถ้าใครชอบแบบร่มรื่นท่ามกลางแมกไม้ก็จะมีวิลล่าที่เป็นวิวสวนครับ อยู่โซนใจกลางเกาะ
เดินลัดเข้าไปในเกาะมาดูกันว่ามีกิจกรรมอะไรให้ทำได้อีกครับ
ต้นไม้ใหญ่มากเทียบได้จากตัวบ้าน
มีสนามฟุตบอล เทนนิส และกีฬากลางแจ้งอื่นๆให้ได้เล่นกันด้วย
ใกล้ๆกันมีฟิตเนส เปิดแอร์เย็นๆให้ได้ออกกำลังกาย หรือหลบร้อนกัน เครื่องเล่นก็มีค่อนข้างหลากหลายครับ แต่โดยทั่วไปแล้ว แขกจะตื่นตาตื่นใจไปกับทะเลและกิจกรรมทางน้ำมากกว่า ฟิตเนสที่นี่เลยเหมาะไว้เปลี่ยนบรรยากาศหรือออกกำลังช่วงค่ำๆ
ถัดจากฟิตเนสก็มีสปาครับ
สปาของที่นี่ ดูแลโดย COMO ครับ ซึ่งน้ำมันหอมต่างๆก็จะเป็นสูตรเฉพาะของทาง COMO เอง ซึ่งลูกค้าสามารถทดลองกลิ่นและเลือกได้ตามชอบ
มีส่วนของห้องอาบน้ำและแต่งตัวในสปาด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครับถ้วน
มีห้องสตรีมให้เข้าไปอบตัวเรียกเหงื่อด้วยเช่นกัน
ฝักบัวอาบน้ำแบบ Rain Shower
เมื่อแขกทำสปาเสร็จเรียบร้อยก็มีที่ให้นั่งผ่อนคลายรับลม
และระหว่างการทำสปาเค้าก็จะเสิร์ฟเครื่องดื่มร้อนด้วยแก้วเซรามิคตามภาพ
ทางเข้าสปาอีกด้านหนึ่งครับ
เดินลัดเลาะดูรูปแบบที่พักต่างๆ
ในเกาะแห่งนี้มีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อยู่มากนะครับ ซึ่งสามารถเห็นได้จากปลาในทะเลทั้งขนาดเล็กใหญ่จำนวนมาก แม้จะอยู่ริมหาด ด้วยความใสของน้ำและความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ ถ้าโชคดีก็จะเห็นฉลามตัวเล็กๆว่ายเลาะริมหาดด้วยครับ
นอกจากนี้เราก็จะพบกับพืชและ สัตว์แปลกๆที่ไม่น่าจะมีในไทยด้วย
แม้แต่ค้างคาวก็มีให้เห็นในตอนกลางวัน ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ เพราะเรามักถูกสอนมาว่าค้างคาวมักออกหากินตอนกลางคืน
เพลิดเพลินไปกับสัตว์และพืชแปลกๆกันไปแล้ว มาชมห้องพักที่น่านอนมากๆกันครับ โดยห้องพักนี้จะสร้างต่อจากสะพานที่ทอดยาวลงไปในทะเล เรียกว่า วิลล่ากลางทะเล ราคาห้องประมาณ 35,000 บาท (แล้วแต่ช่วงเวลา)
เดินตามสะพานไม้ที่ทอดยาวไปที่วิลล่า น้ำทะเลจะมีสีแตกต่างกันไปแล้วแต่บริเวณและความลึก ทำให้ดูสวยมากๆ
ในน้ำก็มีปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายให้เห็น
ลองเข้าไปดูข้างในห้องกันครับ วิลล่ากลางทะเลนี้จะเป็น type ที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดของที่นี่ ด้านในจะเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายห้องอื่นๆ แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย
1 ใน Gimmick ของวิลล่ากลางทะเลคือพื้นผ้าใบ (ไม่ใช่เตียงเพราะเป็นพื้นเจาะรู) ซึ่งรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เหมาะกับคนที่อยากนอนเล่นไปมองพื้นน้ำไป ถ่ายรูปออกมาก็สวยครับ
มองลงไปเห็นพื้นน้ำครับ
สำหรับที่นี่แล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ติดทะเล แต่อยู่กลางทะเลเลย
แต่ถ้าแค่มองเฉยๆแล้วยังไม่สะใจ ปีนบันไดลงไปเล่นน้ำได้เลยครับ
ตัววิลล่าเป็นแบบใต้ถุนสูง เราจึงสามารถสำรวจใต้ถุนบ้านได้ด้วย
ที่นี่มีการออกแบบที่ดีมากครับ คำนึงถึงรูปแบบการใช้สอยห้องของแขกได้เป็นอย่างดี ลองจินตนาการดูนะครับ ว่าถ้าเราอยู่ในห้องนี้ พักผ่อนในห้องซักพัก รอแดดร่ม และอยากลงไปเล่นน้ำทะเล เราก็ปีนบันไดลงไปเล่น และเมื่อเล่นจนพอใจแล้ว เราก็ขึ้นมาจากทะเล แน่นอนเราคงไม่อยากเดินเข้าไปในห้องโดยที่ตัวเรายังเปียกๆ เพราะพื้นห้องของเราก็จะเปียกจริงไหมครับ ซึ่งวิลล่าแห่งนี้ก็มีสะพานเล็กๆ เชื่อมไปยังห้องน้ำครับ
ในส่วนห้องน้ำ มีให้เราเลือกอาบได้ 2 แบบ เช่นเดียวกับห้องอื่น โดยมีอ่างอาบน้ำแบบ Open Air
หรือถ้าอยากรีบชำระล้างร่างกาย ก็อาบฝักบัวได้
วิวจากห้องน้ำสามารถมองไปได้ถึงทะเล ใครกลัวไม่เป็นส่วนตัวสามารถปิดมูลี่สีน้ำตาลในภาพได้ครับ
ที่นั่งน่ารักดีครับสามารถใส่ของได้ด้วย
จากห้องน้ำเราเดินวนมาตรงห้องนอนได้ด้วย
ห้องนอนจะเป็นแนวลึกเข้าไป
เป็นห้องนอนที่สบายมากๆ และถ้าใครชอบทะเลก็อาจจะไม่ต้องไปไหนเลย เวลาหิวก็ใช้บริการ Room Service เพียงเท่านี้ก็อยู่ในทะเลได้ทั้งวัน เหมาะกับคนรักทะเลมาก
ปิดท้ายด้วยวิวทะเลจากวิลล่า
เดินเล่นมาตลอดบ่ายก็เริ่มหิวแล้วกลับไปหาอะไรทานครับ ระหว่างทางจะเห็นว่าป้ายบอกทางที่ทำเหมือนก้อนหิน เรืองแสงขึ้นมาด้วยเพราะว่ามีไฟข้างใน เป็นไอเดียที่ดี
จุดคบไฟก็สร้างบรรยากาศ
แสงสุดท้ายใกล้จะมาถึงแล้ว
ระหว่างทางเดินผ่าน งานเลี้ยงเชฟที่ได้รับรางวัลการแข่งทำอาหารที่จัดที่มาเล่ครับ แสดงให้เห็นว่าเชฟโรงแรมนี้มีฝีมืออีกด้วย และที่นี่ก็มีเชฟคนไทยด้วยนะครับ
เดินไปอีกหน่อยมีโต๊ะที่จัด Exclusive ให้กับคู่ Honeymoon ครับ สามารถ request ได้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่โลเคชั่นนี่ถือว่าสุดยอดมากครับ จัดโต๊ะตรงมุมสุดสะพานติดทะเล เห็นวิวพระอาทิตย์กำลังตก
ตรงวิวศาลาท่าเรือก็สวยไม่แพ้กัน
ลองเทียบวิวตอนกลางวันและตอนพระอาทิตย์ตก
เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ ยากจะลืมเลือน
วิวรอบสระก็ยังสวยครับ ช่วงพระอาทิตย์ตกนี่เป็นช่วงที่สวยงามมากจริงๆ
แวะกลับมาดูงานเลี้ยงของเชฟ ทำออกมาได้สวยงาม มีศิลปะ
ตรงน้ำตาลปั้นสีม่วง สังเกตดีๆจะมีตราอุนาโลมแบบไทยด้วย แอบแฝงความเป็นไทยเอาไว้ เพราะเชฟที่ทำก็เป็นคนไทยครับ
แพนนาคอตต้า ยังกลิ่นใบเตยเลย
อันนี้โต๊ะงานเลี้ยงของเชฟ วิวก็ค่อนข้าง exclusive
หลังจากเถลไถลไปหลายที่แล้ว ก็ไปห้องอาหารซะที ที่ Kandooma Cafe ที่เดิม ซึ่งรายการอาหารก็จะต่างจากอาหารเช้า
ทานอาหารไปก็มีวงดนตรีเล่นดนตรีสดให้ฟัง เป็นเพลงสบายๆริมทะเล แขกหลายๆท่านก็จับกลุ่มมานั่งฟังกัน
หลังจากทานเสร็จแล้ว ก็ไปเดินเล่นที่ The Dock Bar ตามที่เกริ่นไว้ช่วงต้นๆ ครับ บรรยากาศสบายๆ open air แต่ก็แฝงความหรูหราเอาไว้ ที่นี่มี 2 ชั้นๆ ส่วนชั้นบนเป็นลานกว้างสบายๆนั่งบีนแบ็ค จิบเครื่องดื่มเย็นๆ สังสรรค์ระหว่างหมู่เพื่อน ดูดาวรับลมไปด้วย มีความสุขมากๆครับ
ชั้นล่างเป็นแนว Fine Dining หรูหรา แต่ก็แฝงความสบายเอาไว้
กลับจาก The Dock ก็เดินมาตรงที่เก็บอุปกรณ์กีฬาทางน้ำแถวสระ ก็จะเห็นภาพวาดเรืองแสง ตอนเข้าไปเหมือนอยู่ใต้ทะเลดีเหมือนกัน เพราะความมืดช่วยให้บรรยากาศกลมกลืน และสีที่ทาก็เรืองแสงออกมา
บนเพดานก็มี
และแล้วก็ถึงช่วงที่ต้องอำลาเกาะ Kandooma ครับ เกาะเล็กๆที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองอย่างมาก ปิดท้ายด้วยภาพวิวทะเลสวยๆ ในวันที่อากาศดีครับ เดินเล่นรอบๆเกาะอีกครั้ง แล้วก็ไปยังท่าเรือเพื่อขึ้นเรือกลับมาเล่
รอเรือเตรียมกลับมาเล่
ขึ้นเรือแล้ว เป็นสปีดโบ้ต น้ำกระเซ็นสนุกดี ใครกลัวเปียกก็ดึงม่านมาบังได้ครับ
ระหว่างทางก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีน้ำทะเล ซึ่งมีความหลากหลาย และสันทรายต่างๆ
เรือเกยบนสันทราย
ก็จบไปแล้วนะครับกับรีวิว Holiday Inn Resort Kandooma เกาะเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากมัลดีฟ
สรุป
การเดินทาง ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากมาเล่ เป็นเวลาที่กำลังดีในการดื่มด่ำกับธรรมชาติ
ห้องพัก สวย ได้อารมณ์เหมือนกระท่อมริมทะเล อยากเล่นน้ำเมื่อไหร่ก็แค่ก้าวลงทะเล
ราคาห้องพัก ก็ไม่แพงเกินไป เหมาะกับการเดินทางมามัลดีฟทั้งแบบฮันนีมูนและครอบครัว หรือแม้กระทั่งมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งก็ยังมีให้บริการนะครับ :)
พนักงานโรงแรม น่ารักและเป็นกันเองมากครับ ยิ้มแย้มแจ่มใส บางครั้งก็มีมุขตลกเวลาพูดคุยด้วย
กิจกรรมที่สามารถทำได้ที่โรงแรม ก็หลากหลาย สามารถเลือกได้ตามความต้องการของแต่ละท่าน ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็น Compliment และแบบมีค่าใช้จ่ายครับ
หากใครที่อยากไปมัลดีฟแล้วกำลังหาโรงแรมที่ไม่แพงเกินไป แต่มีให้ทั้งความสบายและผ่อนคลายแบบมัลดีฟอย่างเต็มที่ Holiday Inn Kandooma เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น