ในเมืองใหญ่ต่างๆทั่วโลกมักมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน และมักเป็นแลนมาร์คที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจที่จะไปเยี่ยมเยือน เช่น ลอนดอน มีแม่น้ำเทมส์ ปารีส มีแม่น้ำแซนน์ โตเกียว มีแม่น้ำสุเมดะ กรุงเทพฯเมืองหลวงของเราก็มีแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ และเรียกได้ว่าเป็นแม่น้ำสายวัฒนธรรม ที่นักท่องเที่ยวจะสามารถศึกษาวิถีชีวิตของคนไทย สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ จากการล่องเรือชม 2 ข้างทาง แต่นักท่องเที่ยวบางคนอาจจะรู้สึกว่าแค่เวลาล่องเรือสั้นๆ อาจจะไม่พอที่จะสัมผัสกลิ่นไอและวิถีชีวิตริมเจ้าพระยา วันนี้เราก็อยากจะมาแนะนำโรงแรมที่อยู่ริมเจ้าพระยากันครับ
อนันตรา ริเวอร์ไซค์ กรุงเทพ เป็นโรงแรมที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาเลย เป็นโรงแรมสไตล์รีสอร์ทที่ตกแต่งโดยเน้นความเป็นไทย และนำช้างไทยมาตกแต่งไว้มากมาย ถ้าใครชื่นชอบความเป็นไทย และชอบช้าง จะต้องประทับใจกับที่นี่ครับ
เข้ามาก็จะเห็นช้างมากมาย สาเหตุหนึ่งที่โรงแรมในเครือมีช้างมาตกแต่งเพราะ ทางโรงแรมอนันตราเอง ก็ได้จัดตั้ง มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ ขึ้นครับ ซึ่งก็มีการจัดกิจกรรมระดมทุนมากมาย เช่น โปโลช้างที่พวกเราได้ไปร่วมงานช่วงเดือนมีนาคม เพื่อนำรายได้มาดูแลช้่างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีครับ
รูปปั้นช้างตัวใหญ่แต่ละตัวจะมีการตกแต่งไม่เหมือนกัน โดยศิลปินและคนดัง ซึ่งสามารถซื้อได้ และรายได้ก็เข้ามูลนิธิครับ
นอกจากตัวใหญ่ก็มีตัวเล็กๆให้ได้ซื้อกัน ผ่านจากเรื่องช้างก็มาเดินดูภายในโรงแรมกันครับ จะเห็นได้ว่ารูปแบบมีกลิ่นไอความเป็นไทยมากๆ
ขึ้นมาด้านบนจะเป็น Main Lobby มีตู้แสดงรางวัลบางส่วนที่โรงแรมได้รับครับ
ใน Lobby มีหมอนขวานให้แขกได้นั่ง และมีกำแพงลวดลายไทยดูแล้วสวยงามเพลินตาดี
ก่อนจะขึ้นไปชมห้อง แอบแว่บ มาดูบาร์กันหน่อยนะครับ บาร์ก็ยังเป็นแนวช้างเลย Elephant Bar เป็นบาร์สไตล์อังกฤษ วินเทจ โทนสีแดง
ป้ายบอกถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบบาร์แห่งนี้
มีโต๊ะพูลให้ได้เล่นกันด้วย กลิ่นไอวินเทจ และนั่งสบายๆในบาร์ พูดคุยสังสรรค์ หรือประชุมงานก็ได้บรรยากาศที่ดี ข้อดีของสีแดง คือทำให้คนเราลืมเวลาครับ ดังนั้น เมื่ออยู่ในห้องนี้เราจะสามารถใช้เวลาในห้องไปได้นานกว่าปกติ ไม่ได้สนใจกับเวลามากนัก
ในบาร์ก็มีภาพงานโปโลช้างในอดีตด้วย
ออกมาข้างนอกก็จะมีผลิตภัณฑ์ของทางอนันตรา
อีกส่วนของ Lobby ก็จะเป็นเพดานเปิดโล่ง เห็นต้นไม้และโคมระย้าห้อยลงมาสวยงาม
มองมุมนี้ก็ให้กลิ่นไอความเป็นไทยในอดีต จากหน้าต่างแบบไทยๆครับ
จากนั้นเราเดินมาที่ห้องพักกัน ผ่านคลองเล็กๆ
ในส่วนที่พักก็จะมีระเบียงทางเดิน ที่เปิดโล่งมองไปเห็นด้านล่างได้ ในฝั่งนี้มองลงไปจะเห็นพุ่มไม้ไผ่สีแดงและสวนเซน ซึ่งอาจจะงงๆอยู่ว่าทำไมดูแหวกแนวจากความเป็นไทย แต่เดี๋ยวอ่านไปเรื่อยๆจะอ๋อครับ
ตามทางเดินก็ตกแต่งด้วยของใช้ไทยโบราณ
เดินผ่านมาอีกฝั่งหนึ่ง จะเป็นเถาวัลย์ลงมา
ทีนี้มาเริิ่มที่ห้องแรกกันครับ เป็นห้อง Deluxe River Front ครับ เป็นห้องที่สามารถสัมผัสกลิ่นไอของแม่น้ำได้เป็นอย่างดี ตัวห้องมีขนาดประมาณ 38 ตารางเมตร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
มีผลไม้ไว้ต้อนรับแขกด้วย ตัวห้องจะนำอักษรไทยโบราณมาประดับในจุดต่างๆของห้องด้วยครับ
ตรงสันแฟ้ม ถ้ามองดีๆก็จะเห็นอักขระไทย
นอกจากการตกแต่งห้องด้วยอักขระที่น่าสนใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่หน้าสนใจคือมือถือที่ชาร์จไว้บริการให้แขกครับ ลูกค้าสามารถนำมือถือเครื่องนี้เข้าไปใช้งานในเมืองตอนท่องเที่ยวได้ โดยมี Google Map และอินเตอร์เนทในเครื่อง ช่วยให้เดินทางได้สะดวก นักท่องเที่ยวไม่ต้องกังวลเรื่องหาซิมหรือโรมมิ่งให้เสียเวลาครับ และสามารถใช้โทรออกทั้งไทยและต่างประเทศได้ด้วย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากในการพยายามเข้าใจความต้องการของลูกค้าที่มาเข้าพัก
เลยออกไปก็เป็นวิวแม่น้ำแล้ว สัมผัสไอของแม่น้ำและลมเย็นๆได้ครับ
มองลงไปด้านล่างเห็นท่าเรือและมีเรือเทียบท่าอยู่ ก็เป็นของทางโรงแรมครับ
มาสู่มุมห้องน้ำกันครับ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือขวด Ceramic ของเรา ที่ตกแต่งเฉพาะสำหรับอนันตราครับ โดยวางตามจุดต่างๆให้เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ
ตรงมินิบาร์ก็มีอุปกรณ์ต่างๆไว้บริการ และดิสเพลย์อย่างสวยงาม
ตรงตู้เสื้อผ้ามีอักขระไทยชัดเจน และเมื่อปิดจะมีไฟส่องผ่านรอยฉลุรูปอักขระ สวยงามครับ
มองลงมาจากระเบียงทางเดิน เป็นแนวต้นไม้ป่าๆดีครับ
มาสู่ห้องถัดไป Junior Suites ครับ ห้องจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็น 46 ตารางเมตร
เริ่มกันที่ห้องน้ำกันก่อน จะแยกเป็นส่วน Shower และอ่างอาบน้ำนะครับ เพราะทางโรงแรมคำนึงถึงความสะดวกสบายของแขก เพราะบางกรณีอาจมีผู้สูงอายุมาเข้าพัก ถ้ารวมฝักบัวกับอ่างอาบน้ำไว้ด้วยกัน อาจไม่สะดวกสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องก้าวข้ามอ่างเพื่อเข้าไปอาบ ซึ่งอาจเกิดการลื่นและเป็นอันตรายได้
มีสบู่แชมพู ไปจนถึงเกลือแช่ตัวอาบน้ำไว้บริการแขกที่มาเข้าพัก ทั้งในส่วน Shower และอ่างอาบน้ำครับ
แอบออกมาชมวิวของโรงแรม ตรงระเบียงก็จะเห็นต้นไม้เขียวชอุ่ม เป็นแนวไทยผสมผสานกลิ่นไอความเป็นรีสอร์ทใจกลางเมืองครับ
มาดูส่วนห้องนอนกันบ้าง ก็ยังคงตกแต่งโดยอักขระ และภาพเขียนแบบไทยๆครับ
มีหนังสือแนวธรรมะภาษาอังกฤษด้วย
จากระเบียงทางเดินของห้องจะเห็นสวนเซน
และห้อง Type สุดท้ายที่จะพามาดู เป็น River View Front Suites มี 13 ห้องเท่านั้น จะเป็นห้อง 1 ห้องนอนครับ เริ่มด้วยห้องน้ำด้านนอก
เข้ามาภายในเป็นห้องนั่งเล่น
ส่วนของห้องนอนครับ
ดูทีวีพร้อมกัน 2 เครื่องก็ได้
ด้านในก็จะมีห้องน้ำหลักอีกห้อง เป็นหินอ่อนสีขาวล้ำสมัย
ส่วนห้องนอนก็มีโต๊ะทำงานให้
มีเก้าอี้อ่านหนังสือนุ่มๆ ก่อนนอนด้วย
มุมต่างๆในห้องนอน
ส่วนห้องนั่งเล่นจะมีระเบียงออกไป
หน้าต่างยังมีลวดลายช้างเลย
ออกไปด้านนอกระเบียงครับ ระเบียงเป็นแบบรอบห้องเลย
สามารถอาบแดดในห้องได้ในวันที่แดดดี มีเก้าอี้อาบแดดพร้อม
ห้องรับแขกสามารถคุยงานได้ด้วย และมีตู้แช่ไวน์ไว้บริการ
เป็นห้องที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันมากครับ
จากห้องต่างๆ เราไปดู Facility อื่นๆ ของโรงแรมกันครับ เริ่มจาก ฟิตเนสครับ เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงเลย โดยให้บริการทั้งแขกที่เข้าพัก และบุคคลภายนอกสามารถสมัครสมาชิกได้ด้วย
เครื่องออกกำลังก็ค่อนข้างหลากหลาย
ในส่วนห้องน้ำก็มี Locker Room ให้เก็บของ
มีซาวน่าทั้งแบบธรรมดา และ ไอน้ำครับ
มีผ้าขนหนูบริการ
ข้อดีอีกอย่างของฟิตเนสที่นี่คือ บางครั้งลูกค้าเชคเอ้าท์ช่วงเช้า แต่ยังไม่ถึงไฟลท์บิน ซึ่งอาจบินช่วงเย็น ลูกค้าสามารถไปเที่ยวในเมืองและกลับมาอาบน้ำได้ที่ฟิตเนสนี้ครับ
ภายในโรงแรมก็จะมีรูปปั้นช้างต่างๆให้ได้ชมมากมาย
จากนั้นเรามาชมร้านอาหารของโรงแรมกันครับ ร้านแรกคือ Trader Vic's เป็นร้านอาหารที่ตกแต่งได้แหวกแนวมาก ถ้ามาครั้งแรกต้องว้าวกันแน่ๆ
เข้ามาภายใน เป็นการตกแต่งแบบแนวชนเผ่า เกาะทะเลใต้ โบราณๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอินเดียน่าโจนส์มากๆ สำหรับอาหารก็ต้องเข้ากับทางร้าน คือเป็นแบบ Polynesian Style + Pacific Rim Cuisine หรือแนวเอเซียแปซิฟิคครับ วัตถุดิบก็จะเป็นอาหารทะเล อาหารฮาวาย เป็นต้น
มีโรงเก็บไวน์ด้วย
ห้องน้ำก็ยังเป็นแนวชนเผ่าเลย
สัญลักษณ์ห้องน้ำ ชาย - หญิง
ด้านใน ลวดลายเหมือนเขียนผนังถ้ำ
ส่วนร้านอาหาร จะมีตู้ด้านหน้า ที่แสดงแผ่นทองเหลือง Reserve เอาไว้
มีป้ายจองของคุณบิล ผู้บริหารของไมเนอร์ด้วยครับ
ทางร้านมีห้องส่วนตัว 2 ห้องครับ ห้องแรกเป็นห้องใหญ่ โทนสีไม้กับน้ำเงิน
เดินมาเรื่อยๆจะเป็นโซน Public ของร้านครับ เปิดโล่ง มีทั้ง indoor และ outdoor
โดยโซนกลางนี้ มองไปในหน้าต่างจะเห็นสวนแบบป่าดงดิบครับ ถ้ามองขึ้นไปก็จะพบว่าเป็นส่วนที่เชื่อมกับตรงระเบียงทางเดินห้องพักที่เรามองลงมานี่เอง เจ๋งมากๆ
ห้องส่วนตัวอีกห้องครับ ห้องนี้มีกิมมิคที่มีตู้เลี้ยงสัตว์น้ำ เช่นกุ้งมังกรให้ดู และสามารถสั่งไปเป็นอาหารได้ด้วย
ห้องนี้ก็เห็นวิวสวนป่า เช่นกัน
ส่วนด้านน้องก็รับลมแม่น้ำได้ดี
ส่วนศาลาไทยนี้ เป็น Dining By Design เหมาะสำหรับผู้ที่จะขอแต่งงาน มี Chef 1 คนและ บริกร 1 คู่ครับ
จากอาหารทะเลใต้ ย้ายมาอาหารญี่ปุ่นกันบ้าง กับ Benihana ร้านนี้มีชื่อเสียงมานานกับ เทปันยากิครับ
เวลาแขกเข้าจะมีตีฆ้องด้วย
และจากที่เราสงสัยกันว่าทำไมโรงแรมแต่งแบบไทย ถึงมีไม้ไผ่แดงและสวนเซน คำตอบก็อยู่ที่นี่แล้ว นั่นเพราะส่วนที่เราเห็นนั้นติดกับเบนิฮานะ ร้านที่มีโทนสีแดงดำนั่นเองครับ เข้าใจคิดมากๆในการออกแบบ
โต๊ะเทปันมีเยอะมาก และมีเชฟทำให้ทานตรงหน้า ระหว่างทำเชฟก็จะมีเทคนิคทำอาหารให้ดูสนุกสนานไปด้วยครับ
อาหารญี่ปุ่นอื่นๆก็มีบริการเช่นกันครับ
จากนั้นก็เดินดูรอบๆโรงแรม ส่วนริมน้ำครับ
สระว่ายน้ำสีสันสดใส ด้วยผ้าขนหนูและร่มสีส้ม สระที่นี่จะค่อนข้างลึกนะครับ ลึกสุดถึง 3 เมตรเลยทีเดียว
ระหว่างทางที่เดินก็จะพบต้นไม้ ที่เป็นชื่อคนครับ ซึ่งชื่อนี้มาจากแขกที่มาพักกับทางโรงแรมบ่อยๆ ทางโรงแรมจึงนำชื่อแขกเหล่านั้นมาตั้งให้กับต้นไม้ที่ปลูก เป็นกุโศลบายที่ดีมากเลยนะครับ ให้แขกอยากกลับมาโรงแรมอีก เพื่อดูว่าต้นไม้ของตนเป็นอย่างไร สร้าง loyalty ได้มากๆ
และช่วงเย็น ตอนฟ้าเริ่มมืดก็จะมีการจุดไฟรอบๆทางเดินซึ่ง ก็มีกิจกรรมให้แขกชมด้วย โดยจะมีนางรำมาจุดคบเพลิง พร้อมกับหนุมานที่มาเล่นกับเด็กครับ
หนุมานแอบไปเล่นกับเด็กๆ
มาถึงริมแม่น้ำแล้วครับ
จะมีตารางเวลาเดินเรือบอกให้ทราบครับ โดยไปส่งที่สะพานตากสิน ทุก 20 นาที ตั้งแต่ 7.40 ถึงเที่ยงคืนครับ
ส่วนเรือลำใหญ่เอาไว้ทานอาหารและล่องแม่น่้ำครับ
หันมาดูทางบก พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว
มองย้อนกลับไปเป็นโรงแรม Avani โรงแรมใหม่ในเครือครับ
ตรงแถวท่าเรือ มี Long Tail Bar ไว้สำหรับแขกที่รอเรือ
และก็มาถึง The Market ครับมีอาหารต่างๆเสิร์ฟเช่นกัน และมีการแสดงร่วมสมัยช่วง ทุ่มถึงสองทุ่มด้วย
มีช้างตกแต่งมากมายเรียงรายตามทางเดิน
ระหว่างเดินก็มาเจอกับร้านอาหารอิตาเลียน Brio
เมนูอาหารเจ๋งมากเป็นถาดพิซซ่าครับ
มีเวสป้าจอดหน้าร้านด้วย
ภายในร้านตกแต่งด้วยโทนอบอุ่น
โซนกลางก็สวยดีครับ
ตรงบันไดเป็นวิวเวนิสด้วย
ห้องเด็กเล่น สำหรับแขกที่มาเป็นครอบครัว พาน้องมาเล่นที่ห้องเด็กเล่นได้ครับ
ร้านกาแฟ Numero Uno มีจำหน่ายทั้งอาหารเช้าและร้านกาแฟครับ
ร้านของที่ระลึกเกี่ยวกับช้างครับ
ตรงสะพานข้ามน้ำ ก็มีที่ให้อาหารปลาด้วยครับ และมีคำอธิบายให้แขกที่พักด้วยว่าให้อาหารปลาแล้วจะโชคดี
มาถึงจุดสุดท้ายที่จะแนะนำคืออนันตราสปาครับ เล่าเสริมอีกซักหน่อยถึงเกร็ดเรื่อง Logo ของโรงแรมครับ หลายคนเห็นแล้วอาจสงสัยว่าความหมายนั้นคืออะไร แต่พอทราบแล้วความหมายนั้นลึกซึ้งเลยทีเดียว เริ่มจาก
- ตุ่มน้ำตรงด้านบน เปรียบเสมือนตุ่มน้ำที่คนโบราณมักใส่น้ำไว้หน้าบ้าน ให้คนที่สัญจรไปมาตักน้ำดื่มแก้กระหายได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดูแลกันและกัน
- ด้านล่าง เป็นหมอนขวาน ที่คนโบราณมักใช้พิง นั่งเล่นนอนเล่น ถ้าใครได้มีโอกาสนั่ง นอนกับหมอนขวานจะรู้สึกว่ามันสบายไม่แพ้นั่งบน bean bag เลย หมอนขวานในโลโก้จึงสื่อให้เห็นถึงการพักผ่อนที่ดีที่ลูกค้าจะได้รับ
พอมารวมกันเป็นอนันตราแล้วก็ ทำให้รู้สึกได้ว่า แขกที่มาพักจะได้รับความสุขสบาย ผ่อนคลายตลอดช่วงเวลาที่มาพักกับโรงแรม พร้อมไปกับการดูแลอย่างมิตรไมตรีครับ
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในสปา มีทั้งขออนันตราเองและ Elemis จากอังกฤษ
ห้อง Treatment ครับ
ตอนทรีตเม้นนั้น แขกจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และเมื่อเสร็จเรียบร้อย ให้ตีฆ้องเพื่อให้พนักงานทราบและมานวดให้
มีผ้าผูกให้ทราบว่ามีผู้ใช้บริการอยู่
วิวริมน้ำในโรงแรม
มีชอปของจิมทอมสัน บริการด้วย
Exclusive Lounge ก็มีเช่นกันครับ
รีวิวนี้ก็อัดแน่นไปด้วยข้อมูลของโรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์นะครับ หวังว่าจะช่วยให้ได้ไอเดียเกี่ยวกับโรงแรมนี้มากขึ้น เพื่อวางแผนมาพักผ่อนเองหรือรับรองแขกชาวต่างชาติครับ :)