วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Burger & Lobster : Bangkok @ Gaysorn Village เบอร์เกอร์แอนด์ลอบสเตอร์ มาถึงเมืองไทย (ซักพัก) แล้ว !!!

หลังจากที่ปี 57 เราได้รีวิวเกี่ยวกับ Red Lobster และ Burger & Lobster กันมาแล้ว จะเห็นได้ว่าหลังจากนั้น ความนิยมเกี่ยวกับ Lobster ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและพบเห็นในอาหารต่างๆมากมาย แม้กระทั่งอาหารญี่ปุ่น ในร้านซูซิ หรือร้าน Premium Buffet ต่างๆ 

กลับไปดูริวิวเก่า เกี่ยวกับ Red Lobster และ Burger & Lobster ที่ลอนดอน ได้ที่นี่ครับ คลิ๊ก

และในปีนี้เองที่เราก็ได้มีโอกาสทาน Burger & Lobster ในประเทศไทยกันแล้วครับ โดยสาขาแรกในกรุงเทพฯ เปิดที่เกสรพลาซ่าครับ 

การเดินทาง
- รถไฟฟ้า : ลงสถานีชิดลม สะดวกสบายมาก
- รถส่วนตัว : ถ้ามาในวันหยุด และใช้บริการของทางห้างมีตราประทับ สามารถจอดได้ทั้งวันเลยครับ 

มาถึงหน้าร้านจะมีทางเข้าสองด้านภายในห้างกะด้านนอก ถ้าทางเข้าด้านในห้างจะเป็นประตูไม้ยักษ์ดันแล้วจะหมุนเข้าไปในร้านได้


เมื่อเข้ามาก็จะพบผนังงานศิลป์แบบ Pop Art รูป Lobster


ร้านแต่งแนว Loft, Industrial 


มีม่านเหล็กที่สามารถใช้ได้ทั้งตกแต่งและเป็นส่วนกั้นพื้นที่แต่ละโต๊ะได้เป็นอย่างดี





ส่วนด้านในสุดของร้านติดริมหน้าต่างด้านนอก เป็นผนังลายตัวละครของร้าน



หลังจากชมร้านแล้วก็มานั่งโต๊ะกันครับ มีอุปกรณ์และซอสต่างๆเตรียมไว้ให้ทานกับ Lobster


ที่แกะกุ้งก็ยังเป็นก้ามกุ้งเลย


ผ้ากันเปื้อนลายคลาสิคเหมือนต้นตำรับ



จากนั้นมาดูเมนูกันบ้าง ยังคงคอนเซปเดิมว่าจะทาน Burger หรือ Lobster หรือจะผสมกันครับ



เมนูที่สั่งคือ Original Lobster ครับ ตัวค่อนข้างใหญ่  มาพร้อมเฟรนช์ฟราย และซอส Garlic Butter หอมมัน กลิ่นของ Lobster ก็หอมแข่งกัน สำหรับจานนี้ถ้าทานกัน 2 คนและไม่ทานกันเยอะก็ถือว่าอิ่มนะครับ



แต่หากใครยังไม่อิ่มก็ลอง Roll ด้วย อันนี้ Roll Avocado ครับ มีความมันของ Avocado เพิ่มมา แต่โดยส่วนตัว รสชาติจะไม่เข้มข้นเท่า Lobster เป็นตัวๆ ใครอยากทาน Lobster แบบเน้นๆ ก็เน้นเป็นตัวดีกว่าครับ 




โดยรวมแล้วก็โอเคเลยนะครับ ใกล้เคียงกับต้นตำรับ สามารถทานที่นี่ได้ โดยไม่ต้องบินไปทานถึงอังกฤษเลย และที่สำคัญราคาก็อยู่ในเรทเดียวกันอีกด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง

หลังจากผ่านพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่โศกเศร้าของชาวไทยทั้งประเทศ แต่พวกเราก็ได้มีโอกาสเห็นพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ และคงไว้ตามโบราณราชประเพณีที่มีมา รวมไปถึงการได้มีโอกาสเข้าชม พระเมรุมาศที่ประกอบพระราชพิธีด้วย 

พระเมรุมาศเปิดให้เข้าชมทุกวันครับ ๗.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ตั้งแต่วันที่ ๒-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ (แต่เนื่องจากจำนวนผู้เข้าชมจำนวนมาก ทำให้ทางรัฐบาลกำลังตัดสินใจว่าจะขอพระบรมราชานุญาตเพิ่มระยะเวลาอีกหรือไม่) โดยรอบการรับชมจะชมได้รอบละประมาณ ๕,๐๐๐ คนครับ 

ทางเข้าชม จะแบ่งเป็น ๓ ด้าน 
- พระแม่ธรณีบิดมวยผม (แถวราชดำเนิน โรงแรมรัตนโกสินทร์)
- กรมรักษาดินแดน
- ถนนท่าช้าง

ถ้าขับรถส่วนตัว แนะนำให้ไปจอดได้ที่ตึกจอดรถ กทม. ใกล้ถนนข้าวสารและเดินไปทางงด้านพระแม่ธรณีครับ

เมื่อไปถึงจุดคัดกรอง อย่าลืมเตรียมบัตรประชาชน เพื่อสแกนผ่านกล้องจะได้ไม่เสียเวลาครับ จากนั้นจะมีการตรวจกระเป๋าตามปกติ

จากนั้นก็จะเดินเข้ามาด้านในเป็นเต้นท์หลังคาสูงเพื่อรอเข้าชมครับ  โดยนั่งเรียงตามแถวตัวอักษร เมื่อถึงเวลาเข้าชมได้ เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกทีละแถว  ระหว่างที่รอแถวถ้ามากันหลายคน สามารถลุกออกมาถ่ายภาพพระเมรุมาศได้ครับ ให้คนที่มาด้วยเฝ้าของแล้วผลัดกัน



จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกแถวให้เข้าไปชมได้ 
- สามารถถ่ายภาพได้ตามปกติแต่อยู่ในกริยาสำรวม งดถ่ายเซลฟี่




เมื่อเข้าใกล้ไปทีละนิดก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่งดงามและสมพระเกียรติ


ฉากบังพระเพลิงเป็นภาพวาดงดงาม




เมื่อเข้าไปแล้ว ส่วนกลางเป็พระเมรุมาศ และโดยรอบมีศาลาลูกขุนต่างๆซึ่งเปลี่ยนไปเป็นส่วนจัดแสดงรายละเอียดการสร้างพระเมรุมาศครับ เริ่มจากอาคารทางซ้ายเมื่อเข้าไป เป็นผังอาคารและแบบจำลองแสดริ้วขบวนพระราชพิธี





แบบจำลองที่มีความงดงามมาก





จากศาลาแรก เราเดินกลับมาดูแปลงนาสาธิและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆของมูลนิธิชัยพัฒนาครับ


มีโต๊ะทรงงานในสมเด็จพระเทพฯด้วยครับ



ออกมาแสงเริ่มเปลี่ยน พระอาทิตย์กำลังจะลับของฟ้า แสงไฟที่ประดับพระเมรุมาศเริ่มจะทำหน้าที่ของมันชัดเจนขึ้นครับ




ในการเข้าชมพระเมรุมาศ และศาลาต่างๆเราจะเดินชมเป็นแบบตามเข็มนาฬิกาครับ (ซ้ายไปขวา) 

ศาลาแต่ละแห่งจะเล่าเรื่องราวการก่อสร้างพระเมรุมาศในแต่ละส่วน สำหรับตรงนี้จะเป็นส่วนของตกแต่งต่างๆ


เทวดาบังไฟ


เครื่องแขวนต่างๆ ทำจากเม็ดธัญพืช วิจิตรบรรจงมาก



เครื่องแขวนที่เป็นไม้ก็ละเอียดไม่แพ้กัน




เมื่อออกจากศาลาที่ ๒ ฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสีไปอีกแบบครับ เป็นความงามของฟ้าในช่วง Twilight หรือโพล้เพล้ เมื่อถ่ายภาพออกมาจะสวยมาก ฟ้าสีฟ้าช่วยขับให้พระเมรุมาศสีทองเหลืองอร่ามจับใจ







ความงดงามที่ใครก็ตามที่เข้าชม ไม่สามารถห้ามใจตัวเองไม่ให้ถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำได้






รอบๆพระเมรุมาศจะเป็นสระน้ำ ตามคติความเชื่อโบราณ ที่เชื่อว่าพระเมรุมาศนั้นคือเขาพระสุเมร รายรอบด้วยป่าหิมพานต์ มีสระต่างๆ ๗ สระ แต่ที่พวกเรามักได้ยินคือสระอโนดาตครับ แต่ละสระรอบพระเมรุมาศจึงมีสัตว์หิมพานต์ที่ต่างกัน


มุมนี้จะสามารถมองทอดยาวไปถึงพระบรมมหาราชวัง จากนั้นก็ชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ของพระเมรุมาศครับ



















ถัดมาจะเป็นศาลาอธิบายถึงการสร้างโครงสร้างต่างๆ มีภาพสเกตบนโต๊ะเขียนแบบ และนำภาพเหล่านั้นมาขยายเป็นขนาดจริง 










ฟ้าก็เปลี่ยนสีอีกครั้ง





มุมนี้เป็นเหมือนทางเดินของดอกดาวเรือง ไปสู่พระบรมมหาราชวัง


ศาลาถัดมา นำเสนอด้านการสร้างงานปั้น รูปปั้นต่างๆ














ครุฑทำได้สวยงามทรงพลังมาก






ฉากบังไฟ






จากนั้นจะมีนิทรรศการพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ตลอดยุคสมัยของท่านครับ ด้านหน้ามีขุนโจโฉ แและคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง 




ด้านในมีพระราชประวัติเรียงตามช่วงเวลาเลยครับ







วิทยุทรงงานของพระองค์


ของใช้พระราชทานให้ผู้ประสบภัย



โต๊ะทรงงาน "พ่อ" ของพวกเรา โต๊ะของพระราชาที่อาจจะดูเรียบง่ายเมื่อเทียบกับราชาองค์อื่นๆ แต่เป็นโต๊ะที่สร้างความมหัศจรรย์ต่างๆมากมาย ให้กับคนไทยแลรวมไปถึงชาวโลก










ประกาศสำนักพระราชวัง ที่ไม่มีใครอยากให้มี



บัตรในงานพระราชพิธีพระบรมศพ



ภาพพระบรมฉายาลักษณ์สุดท้ายก่อนออก เป็นภาพที่เรียบง่ายแต่มีความหมายกินใจมากครับ ทำให้รู้สึกตื้นตันในพระราชดำรัสของพระองค์ และทำให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ภูมิใจที่เป็นคนไทย และได้เกิดในแผ่นดินของ "พ่อ"


ส่วนสุดท้ายก่อนออกจะเป็นส่วนจัดแสดงเรื่องพระราชรถในพระราชพิธีครับ






สำหรับผู้พิการก็สามารถเข้าชมได้ โดยการให้สัมผัสแบบจำลองครับ



สำหรับรีวิวพระเมรุมาศก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ อยากให้ทุกคนได้มีโอกาสมาชมความยิ่งใหญ่ และมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของคนไทย ก่อนที่จะถูกย้ายไปครับ