วันนี้เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมโรงแรมสุโกศลอีกครั้งครับ ในคราวนี้มีโอกาสได้เยี่ยมชมห้องต่างๆในโรงแรม เลยอยากจะนำภาพมุมต่างๆในโรงแรมมาแชร์ให้ได้ชมกัน เผื่อท่านไหนอยากจะใช้บริการ หรือมีโอกาสจะรับรองแขก ก็อาจจะใช้รีวิวนี้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาก็ได้ครับ
การตกแต่งของโรงแรม จะมีกลิ่นไอโคโลเนียลผสมผสานความเป็นไทยอย่างลงตัว ทำให้ดูคลาสิค ไม่ล้าสมัยครับ
เริ่มต้นจากจุดเดิมคือมุมด้านหน้าโรงแรม บริเวณเล้าจน์ครับ ถ่ายเวลาไหนก็สวย
ในส่วนของเล้าจน์ก็จะมีที่นั่งสบายๆ เหมาะกับวันพักผ่อน
ทีนี้มาเดิมชมโรงแรมกันครับ บริเวณชั้นล่างจะเป็นห้องอาหาร 2 ห้อง คือปทุมมาศที่เราได้รีวิวบุฟเฟ่ต์ตับห่านไปในครั้งก่อน กับห้องอาหารจีน Lin Fa ครับ ไว้เดี๋ยวลงมาชม ขึ้นไปดูด้านบนกันก่อน
บริเวณชั้นล่างของโรงแรมนี้จะมีของโบราณตกแต่งเอาไว้ตลอดทางเดิน ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างดี ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายไว้ครับ แต่มีเยอะพอที่คนรักของโบราณ สามารถศึกษาหาความรู้ได้เลยทีเดียว ตั้งแต่พวกถ้วยชามรามไหในยุคต่างๆ ไปจนถึงงานศิลปะไทย ปูนปั้นและหุ่นกะบอกตามภาพ
ขึ้นลิฟท์มาชมห้องของโรงแรมกันครับ ทางเดินปูพรมที่มีลวดลายที่มีกลิ่นไอความเป็นไทย เหมือนลวดลายเบญจรงค์และก็มีไหเบญจรงค์วางจัดแสดงไว้อีกด้วย
จากทางเดินก็มาชมห้องของโรงแรมกันครับ วันนี้จะพาชมห้อง 2 แบบครับ ห้องแรกคือ Deluxe 2 Bed ครับ โทนการตกแต่งภายในห้องจะเป็นสีขาวอมม่วง Stripe ครับ เป็นเตียง Twin Bed สำหรับราคาห้อง กรณี Walk-in จะอยู่ประมาณ 3,290 บาทครับ ยังไม่รวมอาหารเช้า แต่สามารถเพิ่มได้เมื่อเช็คอิน เพิ่มประมาณ 450 บาท
บนหมอนประดับสีม่วงอ่อน ก็จะมี Logo ที่แสดงถึงความเป็นสุโกศล ปักอยู่ครับ
ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างเลยครับ แต่สิ่งหนึ่งที่ทางโรงแรมแนะนำมาคือ โทรศัพท์นั่นเอง แล้วโทรศัพท์เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างไร ทางโรงแรมก็เล่าว่า แค่แขกที่เข้าพัก กด 0 และโทรออก เจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็จะรับเรื่องและยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ครับ ตามหลักการที่ยึดถือ คือ บริการด้วยใจ นอกจากความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดีแล้ว ในห้องก็จะมีโต๊ะทำงานตามภาพ
มีมุมเก้าอี้พักผ่อน สำหรับนั่งอ่านหนังสือ
Mini Bar คอยให้บริการ
บนเตียงก็มีผ้าขนหนูนำมาทำเป้นตุ๊กตาช้างน่ารัก ไว้ต้อนรับแขกที่มาเข้าพัก
มุมตู้เสื้อผ้าและที่วางกระเป๋าครับ
นอกจากส่วนห้องนอนแล้ว อีกห้องหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือห้องน้ำครับ ในห้องก็จะมีสบู่เหลวน้ำยาต่างๆไว้บริการ รวมไปถึงน้ำดื่มด้วย
ถุงใส่ไดร์เป่าผมก็ยังมีโลโก้ของทางโรงแรม
จากนั้นเราย้ายมาดูห้องลักษณะเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นเตียงคู่ครับ ลักษณะใกล้เคียงกันต่างกันที่ชนิดของเตียง
จากนั้นก็ไปดูห้องอีก Type กันต่อ คราวนี้ขึ้นไปอยู่ชั้น High Zone กันบ้าง โดยชั้น 18-23 ของโรงแรม จะเป็นส่วนของ Executive Type ครับ มี Executive Lounge ให้บริการแขกในชั้นเหล่านี้พิเศษด้วย โดยแขกที่อยู่ในชั้นเหล่านี้สามารถทานอาหารเช้าได้จากบนเล้าจน์เลย
มีของตกแต่งแบบไทยๆมากมาย แม้กระทั่งแม่กุญแจแบบไทยโบราณก็มีให้เห็น
Executive Lounge อยู๋ชั้น 21 ครับ ตามชื่อ
ก่อนจะเข้าไปดูในเล้าจน์ไปดูอีกห้องกันครับ เป็นห้อง Suite ครับ เป็นห้องที่แบ่งส่วนของห้องรับแขกและห้องนั่งเล่น ออกจากห้องนอนชัดเจน คล้ายอยู่บ้าน ราคาของห้องประมาณ 12,000 บาท สำหรับ Walk-in
เดินไปดูส่วนด้านในกันก่อน เป้นห้องนอนและห้องน้ำ ก็ยังคุมโทนสีเหมือนเดิมคือขาวม่วงอ่อน มีตุ๊กตาช้าง โต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้อง
ในห้องน้ำจะแบ่งส่วนของอ่างอาบน้ำ กับฝักบัวแยกกันเลย เพราะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง แขกจึงสามารถอาบน้ำได้ตามที่ตนเองชอบ
ส่วนฝักบัวเป็น แบบ Rain Shower และที่สำคัญมีขวดของ PASHA ติดกับ Wall Hanging เพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ และลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการวางขวดแล้วเกิดการลื่นตกแตกครับ
หลังจากแขกเลือกได้ว่าจะอาบน้ำในรูปแบบไหนและอาบเสร็จเรียบร้อย ก็มาในส่วนของอ่างล่างหน้า ขนาดค่อนข้างใหญ่ดีครับได้ ความสูงของอ่างค่อนข้างเตี้ย แต่มีม้านั่งมาให้ด้วย เพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถนั่งแต่งหน้าได้ครับ
ข้างอ่างจะมีถาดบรรจุของใช้ที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ และขวดของ PASHA ที่บรรจุ Lotion ครับ
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาข้างนอกอีกครั้ง บริเวณหัวนอนก็ตกแต่งด้วยโคมไฟที่โมเดิร์นแต่ก็เข้ากับเฟอร์นิเจอร์เก่าได้ดี
ภายในห้อง ก็สามารถชมทิวทัศน์ของกรุงเทพจากมุมสูงได้
ในห้องรับแขกก็มีโต๊ะทานอาหารขนาดใหญ่ไว้ด้วย
รวมไปถึง MiniBar เล็กๆ
ด้านนอกสุดก็มีห้องน้ำเช่นกัน แต่ไม่มีส่วนอาบน้ำครับ ในกรณีมีแขกก็ให้เข้าห้องนี้ได้
ออกจากห้องไปชมเล้าจน์กันครับ ตกแต่งด้วยของเก่าแต่ดูคลาสิคและลงตัวมาก ตรงส่วนนั่งเล่นเป็น Double Volume เพดานสูง นั่งแล้วผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน ไม่ใช่ในตึกสูง แหงนหน้ามองแชนเดอร์เลียก็เพลินดีครับ
ด้านบนสามารถขึ้นมาไดเช่นกัน จะได้เห็นวิวสวยๆตามภาพ
บันไดก็มีภาพแขวนสวยงาม
นอกจากส่วนห้องนั่งเล่น ก็ยังมีส่วนที่บริการของว่างและอาหารให้แขกได้ทานกันด้วย เช่น เบอร์เกอร์แกะชิ้นพอดีคำ แซลมอนรมควัน สลัด ชีสต่างๆ รวมไปถึงขนมหวาน ส่วนเครื่องดื่มก็มีบริการคอกเทล และเหล้าด้วย
ภาพส่วนที่บริการอาหารของเล้าจน์ครับ
มุมบาร์
แขกสามารถทานอาหารไปและชมทิวทัศน์มุมสูงได้
ทิวทัศน์จากห้องที่เราทานอาหารครับ เห็นตัวโรงแรม ตึกใบหยกและเขตประตูน้ำ
ในส่วนของการให้บริการเล้าจน์นั้น ให้บริการแขกที่อยู่ชั้น 18-23 ในระหว่างเวลา 7.00 - 22.00 นาฬิกา
จากเล้าจน์ ก็มาดูส่วนอื่นๆที่โรงแรมมีบริการลูกค้าครับ นั่นคือฟิตเนสและสปา
ก็ยังคงตกแต่งแบบโบราณคงคอนเซป
มีฟิตเนสไว้บริการแขกที่เข้าพักด้วย
ร้านทำผมก็มีเช่นกัน
จากฟิตเนสก็มาดูสปากันครับ
สปาจะอยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำ
ในสปาก็จะมีน้ำมันหลายชนิดให้เลือกใช้ เช่น ลาเวนเดอร์ ตะไคร่ และน้ำมันอาร์กันจากโมรอคโค
ถ้าทำเป็นคอร์สคู่ ก็มีห้องส่วนตัวด้วย
ในห้อง มีขวดหินอ่อนจาก PASHA เช่นกัน เป็นหินอ่อนสีดำ สลัก Wording ของน้ำยาภายใน โดยเป็นลวดลายที่ทางสุโกศลออกแบบมาโดยเฉพาะครับ
นอกจากห้องคู่ ก็มีห้องสปาเท้าด้วย
ใกล้ๆสปาก็เป็นสระว่ายน้ำครับ เป็นมุมรับแดดเช้า ตอนบ่ายและเย็นจึงเล่นได้สบาย
เสร็จแล้วกลับลงมาด้านล่างอีกครั้ง เข้าไปชมห้องอาหาร Lin-Fa ครับ ทางเข้าเป็นแผ่นสแตนเลสฉลุลายแบบจีน แต่ดูร่วมสมัย
ได้รับรางวัลจาก Thailand Tatler นิตยสาร Lifestyle ที่หรูหรา มาการันตี ความยอดเยี่ยมของร้าน
บรรยากาศภายในร้าน ค่อนข้างสงบเป็นส่วนตัว เพราะมีส่วนซอยย่อยเป็นห้องส่วนตัวครับ อาหารที่ขึ้นชื่อ ก็คือ ติ่มซำ และเป็ดปักกิ่ง และมีบริการอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ด้วยเช่นกัน
ถัดจากห้องอาหาร ก็เป็นส่วนสุดท้ายที่เราจะพาชมครับ นั่นคือ ร้านของที่ระลึกของโรงแรม ซึ่งถ้าหากแขกไม่มีเวลาไปหาของที่ระลึกก็สามารถซื้อได้จากที่นี่ครับ
มีพระพิฆเนศด้วยครับ ซึ่งก็ขอโยงมาเล่าซักเล็กน้อย จากที่เห็นในภาพ พระกรด้านซ้ายของพระพิฆเนศ ถือบ่วงบาศก์อยู่ นี่คือที่มาของ PASHA หรือ ปาศะ ครับ แปลว่าบ่วงบาศก์ และเป็นสิ่งหนึ่งที่เรายึดถือคือคล้องใจลูกค้า หรือสร้างความประทับใจให้ลูกค้านั่นเอง
สำหรับรีวิวพาชมโรงแรมสุโกศล ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้นะครับ ก่อนจบขออนุญาตสรุปรายละเอียดโรงแรมซักเล็กน้อย
โรงแรมสุโกศล
การเดินทางรถไฟฟ้า : สถานีพญาไท เดินประมาณ 300 - 400 เมตรครับ
ตำแหน่งของโรงแรม : ถือว่าดีมากๆ สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางจากสนามบินมาเอง เพราะนั่งแอร์พอร์ทลิงค์มาและเดินเข้าโรงแรม หรือมีรถรับส่งของทางโรงแรมให้บริการ
ยิ่งไปกว่านั้นสามารถเดินไป King Power รางน้ำได้ เพื่อซื้อสินค้าปลอดภาษี หรืออยากสำรวจกรุงเทพก็ใช้รถไฟฟ้าได้อย่างสะดวกมาก ทำเลตรงนี้จึงเป็นจุดที่แนะนำ
อีกอย่างคือการบริการที่ดี ทำให้โรงแรมมีลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเสมอ และมี Occupancy Rate สูงถึงประมาณ 90% เป็นเครื่องการันตีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น