วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

So Sofitel Bangkok ความเป็นไทยที่ผสมผสานกับฝรั่งเศสอย่างลงตัว

รีวิวนี้ขอพูดถึง So Sofitel กรุงเทพนะครับ สำหรับ So ถือว่าเป็นแบรนด์ที่สูงที่สุดในแบรนด์ Sofitel ครับ โดยที่ So Sofitel  ในกรุงเทพนี้ถือได้ว่าเป็น Flagship หรือตัวแม่แบบให้กับ So อื่นๆทั่วโลก ซึ่งเมื่อได้มาเยี่ยมโรงแรมนี้ก็พบว่าเป็นโรงแรมที่มีคอนเซปในการออกแบบที่แน่นมากๆ และใช้ดีไซน์เนอร์หลายท่านเช่นกัน โดยโรงแรมตั้งอยู่ในทำเลกลางเมืองของกรุงเทพฯ ตรงข้ามสวนลุมพินีครับ  

โรงแรมมีแนวคิดในการออกแบบแต่ละชั้นแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา นั่นคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

เริ่มต้นกันจากชั้นล่างของโรงแรมกันก่อนเลย เป็นส่วนทางเข้า ยังไม่ใช่ main lobby  ในส่วนนี้ถูกออกแบบให้เป็น ยุคอดีต ครับ จะมี gimmick เกี่ยวกับอดีตมากมายให้ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นด้านบนที่เป็นสัตว์โบราณที่รายล้อมบนเพดาน และมีโครงไม้เชื่อมต่อกันยาวไปจนถึงลิฟท์ ให้เป็นตัวแทนของมังกร ซึ่งมีความเชื่อกันว่าหากเราลอดใต้ท้องมังกรจะโชคดี  พอดูสัตว์ต่างๆด้านบนแล้ว คล้ายๆกับสัตว์เทพที่พิทักษ์ตามทิศต่างๆ ตามความเชื่อของจีนและญี่ปุ่นเลย นั่นคือ หงษ์ เต่า เสือ และมังกรนั่นเอง ซึ่งก็มีความหมายที่ดี






โครงไม้ที่ถ้ามองดูแล้วจะเหมือนเป็นลำตัวของมังกรเลื้อยไปจนถึงลิฟท์





สำหรับประตูทางเข้าโรงแรม จะมี 2 ด้าน ด้านหลักจะอยู่ริมถนนพระราม 4 และประตูรองอยู่ด้านถนนสาทร โดย 2 ประตูนี้มีความต่างกันด้วย ประตูหลัก ถือว่าเป็นประตูเจ้าเมือง จะมีความยิ่งใหญ่และสวยงามกว่า ส่วนประตูรองเป็นประตูสำหรับคนธรรมดา ซึ่งจะปิดทึบและมีรูเล็กๆให้แอบดู เหมือนประชาชน ย่อมอยากรู้ว่าในวังเป็นอย่างไร เลยมาแอบดูในรูเล็กๆ 


และอีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันความเป็นอดีต นั่นคือการแกะสลักกำแพงหินเป็นอักขระโบราณคล้ายหลักศิลาจารึก ดูแล้วโบราณดี




ในชั้นล่างนี้ ก็มีร้านขายของที่ระลึกจำหน่ายด้วย โดยสินค้าจะเป็นสินค้าที่ดีไซน์โดย มองซิเออร์ คริสติน ลาครัวซ์ หนึ่งในดีไซน์เนอร์ระดับโลกจากฝรั่งเศส 1 ในผู้ออกแบบหลักของโรงแรมนี้


ฝั่งตรงข้ามของร้านขายของที่ระลึกก็จะเป็น ช็อคโคลาด้า (Chocolab) ซึ่งหลับตาก็สามารถเดาถูกได้ว่าเป็นร้านอะไร เนื่องจากมีกลิ่นช็อคโกแลตผสมราสเบอร์รี่อบอวลไปทั่วบริเวณ Chocolab เป็นร้านช็อคโกแลต Homemade ของโรงแรมครับ ทำกันสดๆ ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากฝรั่งเศสทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นและอร่อยมาก



ในช่วงนี้เป็น Co-promotion กับคุณธรณ ชัชวาลวงศ์ ดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าแแบรนด์ TAWN C. ของไทยครับ ทำให้ตัวช็อคโกแลตมีลวดลายสวยงาม และรสชาติที่แปลกใหม่ เช่น ต้มยำกุ้ง






มีแพคเกจเฉพาะเป็นของตัวเองด้วยครับ






ด้านในก็มีของประดับน่ารักๆ และมีที่นั่งให้พักผ่อนด้วย




อีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้ที่มาเยี่ยมร้าน ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายนั่นก็คือ เพดานช็อคโกแลตที่กำลังจะละลายครับ ให้อารมณ์สนุกสนานและน่าถ่ายรูป




สำหรับส่วนของอดีต ก็มีคร่าวๆประมาณนี้ครับ ที่นี้ก็เดินทางไปสู่ ยุคปัจจุบัน กัน 
เมื่อเข้ามาในลิฟท์จะเจอสัญลักษณ์ Tree of Life 1 ในสัญลักษณ์ของโรงแรม ต้นไม้ที่ผสมผสานธาตุต่างๆ



ออกมาชั้น 9 ซึ่งเป็นชั้น Main Lobby ครับ แต่สำหรับ So จะไม่เรียกคำพื้นๆแบบนั้น จะมีคำเรียกเฉพาะ 

Main Lobby  =  Park Lobby  
ส่วนชั้นล่างที่เราเพิ่งขึ้นมา =  Street Lobby  
พนักงานต้อนรับเรียก = So Welcome Angel
Concierge = City Guru  

ทางเข้า Park Lobby จะเป็นมืดๆ ดูลึกลับ หรูหรา น่าค้นหา


บริเวณ Lobby มี Bar เล็กๆด้วยครับ


บนเพดานมีโคมไฟหายดวงแขวนอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนก้อนเมฆสีทองลอยอยู่ด้านบน






เป็นธรรมเนียมเมื่อแขกมา ทางโรงแรมก็จะเตรียม Welcome Drink รับรองแขก โดยจะมีเรื่องเล่าเป้นนิทานสั้นๆ เอาใจเด็กๆ เรื่องก็คือมีเด็กร้องไห้อยู่ ผู้ใหญ่ก็เลยจะหาทางให้เด็กหยุดร้องไห้ ก็เลยคิดเครื่องดื่มนี้ขึ้นมาโดยเริ่มต้นเสิร์ฟน้ำอัญชัญใส่ตะไคร้มา เป็นสีน้ำเงิน และให้เด็กดู เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ จึงเทน้ำมะนาวลงไปให้เด็กดู และบอกว่าถ้าหยุดร้องจะโชว์เวทย์มนต์ให้ดู เด็กก็หยุดร้อง จากนั้นเมื่อคนน้ำมะนาวกับอัญชัญให้เข้ากัน สีของน้ำก็จะกลายเป็นสีม่วงแบบในภาพ มันมีเวทย์มนต์จริงๆ





นอกจากการตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่ดีไซน์ล้ำๆแล้ว สิ่งที่ดึงดูดใจไม่แพ้กันคือวิวสวนลุมพินีครับ คนที่มาครั้งแรกและได้เห็นน่าจะต้องหลุดปากว้าวออกมาแน่ อารมณ์เหมือนอยู่เมืองนอกหรือเซ็นทรัล พาร์คเลย







คราวนี้สำรวจห้องน้ำกันครับ ในชั้นนี้ห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวมกันนะครับ เหมือนที่มัลดีฟเลยที่ใช้ได้ทั้งชายและหญฺิง ก็ยังมีการเล่นสนุกกับป้ายบอกห้องน้ำด้วย โดยนำโลโก้มาและเพิ่มสัญลักษณ์บอกเพศตรงตัว O ซึ่งไอเดียดีมากๆ


ในห้องน้ำเป็นโทนดำ ลุ่มลึกหรูหรา ที่สำคัญมีขวดหินอ่อนจาก PASHA ที่ได้พัฒนาให้กับทาง So ด้วยครับ :)




บริเวณชั้น 9 จะมีส่วนที่มองออกลงไปห้อง Ballroom ชั้น 8 ได้ ซึ่งตรงชั้น 8 มีเอกลักษณ์ตรงที่มีนาฬิกาวินเทจแขวนมากมาย และเข็มนาฬิกาจะชี้ไปที่เลข 8 แสดงให้เห็นว่า เราอยู่ชั้น 8 และอีกความหมายคือ infinity ช่างคิดดี




ขึ้นลิฟท์ไปแอบดูห้องกันครับ ซึ่งส่วนถัดจากนี้ก็คือส่วนของ ยุคอนาคต ที่แม้แต่ห้องพักก็มีคอนเซปเฉพาะแยกส่วนด้วยนะ โดยแบ่งรูปแบบห้องพักเป็นธาตุต่างๆด้วย น่าสนใจมากๆ ตามมาดูกันครับ


เริ่มจาก ธาตุเหล็ก Metal ครับ โทนริ้วๆและสีเทาๆบนกำแพงให้ความรู้สึกของเหล็ก และเขม่าควันในเมืองใหญ่ทำให้เหล็กมีสีโทนประมาณนี้



โถงกลางห้อง เป็นเพดานสูงขึ้นไปเลย โดยจะทำเพดานสูงในส่วนเฉพาะของแต่ละธาตุ ซึ่งโซนเหล็กมี 3 ชั้น ก็จะมีเพดานสูงถึงสามชั้น และมีการตกแต่งเฉพาะแต่ละธาตุ ซึ่งโซนเหล็กเองก็ดูเท่มาก








คราวนี้เข้าไปดูห้อง Type แรกกันกับ ธาตุเหล็ก ห้องจะเป็นโทนสีขาว เทา และเงิน ให้ความรู้สึกโมเดิร์นล้ำยุค



แม้ว่าห้องนี้จะมีความเป็นโมเดิร์นสูงมาก ทางโรงแรมก็ยังไม่ลืมที่จะใส่กลิ่นไอความเป็นไทยผ่านเมฆเหล็ก ที่ให้อารมณ์ของรามเกียรติ์บนกำแพงด้วย







มี Day Bed ไว้นอน นั่งชมวิวเมือง







ในห้องน้ำก็มีขวดเซรามิคของ PASHA ที่ร่วมกันพัฒนามากับ So เช่นกัน ซึ่งจะมีวางในทุกธาตุเลย




อ่างล่างหน้าสามารถแอบมองไปข้างนอกได้






มีมุมโต๊ะทำงานอยู่หลังเตียง


มี keyboard ที่ใช้กับทีวีได้ ทำให้ทีวีเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ไปในตัว




จอใหญ่ดูสบาย ไม่ว่าจะมุมไหน





ที่แขวนเสื้อเป็นเหล็กดูล้ำๆ



มีชากาแฟบริการ และ minibar ในตู้เย็น สามารถทานได้ฟรีท้้งหมดครับ ใจดีมาก






แก้วก็มีลายของตัวเอง



เครื่องใช้ต่างๆก็จะมีสัญลักษณฺ์ Tree of Life ครับ





จากนั้นมาธาตุที่สองนั่นคือ ธาตุไม้ Wood ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านไม้ในภาคเหนือ โทนของห้องจะเป็นแบบ warm อบอุ่น ป้ายบอกเลขห้องก็ดูมีไอเดีย เงาของแมกไม้


ในส่วนโถงกลางจะเป็นบันไดไม้ใหญ่ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ดูอบอุ่น


ตรงเสาไม้ มองอีกมุมหนึ่ง...อ้าว ผู้หญิงนินา


เมื่อเข้ามาในห้อง จะพบการตกแต่งด้วยไม้ต่างๆ และมีวิวสวนลุม ให้ความรู้สึกถึงแมกไม้ขึ้นไปอีก





สิ่งอำนวยความสะดวกจะมีให้เหมือนกันทุกธาตุ แต่โทนสีและ










มีภาพบ้านโบราณแซมๆมาด้วย เพื่อเพิ่มกลิ่นไอ


หมอนลาย Tree of Life


งานไม้ตกแต่งให้อารมณ์ชาวเขา ภาคเหนือ


ในห้องน้ำ็มีลูกเล่นให้ตื่นเต้น ด้วยต้นไม้แบบโมเดิร์นครับ



มีการนำรูปแบบการสร้างบ้านแบบภาคเหนือมาใช้ คือ บานฝาไหล เป็นไม้ระแนงที่มองเห็นภายนอกได้ ก็เป็น Sexy Window แบบหนึ่ง










มาต่อกันที่ธาตุที่ 3 ธาตุดิน ครับ ถ้าพูดถึงธาตุดิน ตามหลักเราต้องนึกถึง สีดำ สีน้ำตาล เทา ประมาณนี้ แต่ที่นี่ธาตุดินจะมีสีโทนน้ำเงินครับ เพราะได้แรงบันดาลใจจากผาแต้ม ห้องธาตุนี้มีความแปลก คือ ซุ้มประตู จะเป็นแบบทรงโค้ง เหมือนรูถ้ำ และมีลวดลายเหมือนภาพสลักในถ้ำตรงบริเวณประตู







ส่วนโถงกลางทำเป็นเหมือนเสาหิน หินงอกหินย้อยในถ้ำ



ห้องนี้เป็นห้องที่หลายๆคนชอบ เพราะถ่ายภาพออกมาแล้วสวยครับ เป็นโทนน้ำเงินทั้งห้องเลย ลวดลายจะเป็นลายที่ได้แรงบันดาลใจมากจากลายที่ผาแต้ม






ม่านยังมีลายเลย






ประตูคอนเนคยังเป็นทรงรูถ้ำ





ส่วนอ่างอาบน้ำเป็นแบบน้ำตกลงมา







มาถึงธาตุสุดท้าย ธาตุน้ำ ครับ ชั้นธาตุน้ำจะมืดเล็กน้อย โทนสีน้ำเงินเข้ม ตกแต่งด้วยกระจก ให้ความรู้สึกถึงการสะท้อนของผิวน้ำ






เมื่อเข้ามาด้านในห้อง จะเห็นกรอบไม้ตรง foyer ห้อง เนื่องจากคอนเซปในการออกแบบจะสื่อให้เห็นว่าเราเดินเข้าไปในห้อง เห็นกรอบรูปขนาดใหญ่ซึ่งเป็นวิวของเมือง เหมือนเรามองภาพเมืองดั่งภาพเขียน




รูปทรงของห้องเหมือนสายน้ำ ไม่เป็นทรงเรขาคณิต ทำให้ไม่น่าเบื่อ











มีฟองบับเบิ้ลให้อารมณ์ของฟองน้ำ




ฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์





จุดเด่นอีกอย่างสำหรับห้อง Type นี้คือ มี walk-in closet ให้แต่งตัวด้วยครับ ขนาดพอดี ไม่คับแคบจนเกินไป





พื้นผิวและลวดลายบนผนัง ให้ความรู้สึกเหมือนการเคลื่อนไหวของสายน้ำ



สำหรับห้องธาตุต่างๆ 4 ธาตุก็มีประมาณนี้ ไปดูส่วนที่น่าสนใจอื่นๆกันต่อไปครับ

ในชั้น 25 จะมี Club Signature ซึ่งเป็นที่รับรองลูกค้าพิเศษของ So Sofitel  ซึ่งลูกค้าพิเศษจะสามารถเช็คอิน ทานของว่างและนั่งเล่นได้ในคลับนี้เลยครับ


ก่อนเข้าคลับมาดูสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆในชั้นกันก่อนนะครับ

ตรงบริเวณลิฟท์จะเป็นห้องมืดๆ และมีภาพที่มองซิเออร์ คริสติน ลาครัวซ์ ออกแบบให้ เป็นภาพที่ดูแล้วมีกลิ่นไอฝรั่งเศสมากๆ คล้ายภาพปักโบราณของยุโรป ในขณะเดียวกันก็ใส่ความสนุกสนานและความเป็นไทยลงไป โดยจะเห็นว่าหัวของแต่ละคนในภาพจะเป็นดอกไม้แทน และเป็นดอกไม้ไทย เช่น บัว กล้วยไม้ เป็นต้น ภาพนี้สวยดีนะครับถ้ามีโอกาสมา อย่าลืมมาถ่ายภาพ


ใกล้ๆกันก็มีงานศิลป์ เป็นจอที่เปลี่ยนลวดลายไปได้ ที่สื่อถึงธาตุต่างๆที่นำมาใช้เป็นคอนเซปของห้อง ของจริงแสงจะสวยกว่านี้แต่ถ่ายด้วยกล้องดูสว่างไปหน่อย









แวะเข้ามาดูคลับกันต่อครับ


Tree of Life ก็ขาดไม่ได้


เข้ามาปุ๊ป ภาพบนเพดานก็เป็นของมองซิเออร์ คริสติน ลาครัวซ์ ใครติดตามผลงานดีไซน์เนอร์ท่านนี้จะต้องตื่นตาตื่นใจแน่ๆ ถ้ามาชั้นนี้ ภาพนี้เป็นภาพสาวฝรั่งเศส แฟชั่นนิสต้า แต่กลับใส่ชุดลวดลายผ้าใหม่ไทย เข้ากันได้เป็นอย่างดี




นอกจากนี้ภาพที่ตกแต่งในคลับ จะเป็นภาพที่แสดงถึงความเกี่ยวโยงระหว่างไทยและฝรั่งเศส โดยใช้ลายเส้นเหมือนลายเส้นบนธนบัตรซึ่งคลาสิคดีมาก ในภาพเป็นความสัมพันธ์กับไทยแต่โบราณ




ตรงกำแพง ก็มีจุดที่ต้องถ่ายภาพ นั่นคือ จุดที่มีลายเซ็นของมองซิเออร์ คริสติน ลาครัวซ์ ซึ่งเซ็นไว้ตั้งแต่ยังเป็นกำแพงดิบอยู่เลย


มีระเบียง outdoor ให้รับลมในมุมสูง




วิวที่เห็นก็ไกลไปถึงโค้งน้ำเจ้าพระยา






ในคลับก็จะเป็น lobby ที่สงบหน่อย




ภาพลวดลายแบบฝรั่งเศส




อีกมุมหนึ่งก็จะเห็นถนนสาทรทั้งสาย และตึกใหญ่ๆมากมาย รวมไปถึงศาลาแดงวัน



ตึกมหานคร




อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โซฟิเทลมีความโดดเด่นเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ก็คือชุดพนักงาน ที่มีลวดลายสีสันโดดเด่น ออกแบบโดยมองซิเออร์ คริสติน ลาครัวซ์  ผสมผสานความเป็นไทย ความสนุกสนาน และความร่วมสมัย






มาดูส่วนที่เป็นของว่างครับ




มีชามีขนมให้ได้เลือกทานกัน




ขึ้นมาชั้นที่ 29 ก็เป็น Roof Top Bar นั่นเอง


Park Society เป็นห้องอาหาร roof top เพื่อนัดพบปะสังสรรค์กันและดื่มด่ำกับบรรยากาศของทิวทัศน์กรุงเทพฯจากเบื้องสูง และมีส่วนต่างๆที่น่าสนใจมากมาย


ได้รางวัล Best Restaurant 2017  จาก Thaiand Tatler เช่นกัน


มีทั้งส่วน indoor และ outdoor เริ่มจากส่วนภายในก่อน มีโต๊ะพิเศษ Chef's table ที่สามารถนั่งไปและดูการทำครัวของเชฟได้ด้วย เป็นประสบการณ์การทานอาหารใหม่ๆ










ด้านในก็เป็นที่นั่งปกติ แต่วิวริมหน้าต่างไม่ปกติ เพราะสวยมาก












จากโต๊ะด้านใน ก็ย้ายมาด้านนอกรับลมกัน มีทางขึ้นไปด้านบนอีก มีป้าย Hiso Only ด้วย


ระหว่างขึนวิวก็ยิ่งสวย



ป้ายเหล็กที่มองดีๆจะเห็นว่า Hiso





พื้นหินก็มีลวดลายสวยงาม



มองไปเห็นโต๊ะด้านล่าง


เป็นเก้าอี้นั่งเล่นที่อาจไม่ได้เน้นนั่งนาน เพื่อจะได้ไปชมวิว สังสรรค์ พูดคุยกัน


วิวสวนลุมพินีอยู่ใกล้ๆ




ยังมีชั้นที่สูงขึ้นไปอีก เป็นชั้นส่วนตัว ซึ่งจะเปิดในโอกาสพิเศษ เช่น ให้คู่รักครับ




ชั้นล่างก็มีเหล็กโค้งที่เป็นโคมไฟ ซึ่งสวยงามยามค่ำคืน




ในส่วนของห้องน้ำ ก็ยังมีคอนเซปเสมอ



มีขวดหินอ่อน PASHA เช่นกันครับ



นี่ละครับความแปลก สามารถยื่นมือข้ามฝั่งห้องน้ำ ชายหรือหญิงได้ ก็เอื้อกับแนวคิดที่ให้เกิดการสังสรรค์กันนั่นเอง




ส่วนชั้นล่างก็จะมีบาร์และที่เปิดเพลง





จาก Park Society ก็ไปดูสปากัน เวลาลงลิฟท์ก็มาดูกันว่าเราได้ลิฟท์ธาตุอะไร แต่ละตัวตกแต่งด้วยธาตุที่ต่างกัน เช่นตัวในภาพ คือ ธาตุดิน


ส่วนสปาจะแต่งเป็นไม้ๆ ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ เพราะนำคอนเซปป่าหิมพานต์มาประยุกต์




เหมือนอยู่ในแมกไม้





So Spa ได้รางวัลมากมายจากสมาคมสปาไทย ช่วยยืนยันคุณภาพ





มีการนำไม้จริงมาตกแต่ง



มองเห็นสระน้ำได้จากหน้าต่าง











ห้อง Treatment มี 7  ห้อง แต่ละห้อง มีชื่อของเค้าโดยเป็นชื่อจากสระป่าหิมพานต์ทั้ง 7 สระ 
คือ อโนดาต กรรณมุณฑะ รถการะ ฉัททันต์ กุณาละ มันทากินี สีหปปาตะ โดยใช้ตัวอักษรให้ดูโบราณ











จากสปาลงบันไดไปก็เป้นสระว่ายน้ำแล้ว เป็น infinity pool และฟิตเนส ว่ายน้ำไปชมวิวไปเพลินๆ




มีบาร์ริมสระ ไว้พักเหนื่อยหลังว่ายน้ำ


ฟิตเนสขนาดไม่ใหญ่แต่อุปกรณ์ครบ



หลังสระว่ายน้ำ เป็น Solarium หรือส่วนที่ให้แขกมาอาบแดด แต่วันที่ไปฝนตก


จุดสังเกตในการออกแบบคือจะเห็นว่าตัวตึกมีส่วนโค้ง ซึ่งจะเหมือนหน้าหนังสือที่เรากำลังเปิด





มีซาลอนให้บริการด้วย


ส่วนห้องอาบน้ำ ตรงกำแพง เป็นคอนเซป under water world กำแพงจึงดูเหมือนมีน้ำเกาะ และสีน้ำเงิน



จุดสุดท้ายของรีวิวนี้ เป็นห้องอาหารของทางโรงแรมครับ Red Oven มีทั้งแบบ Alacarte และ Buffet ให้เลือก ทางเข้าสวยงามมาก เหมือนเดินเข้าไปในหอนาฬิกา มีฟันเฟือง




โต๊ะอาหาร


แก้วน้ำก็เป็นแก้วมีลูกเล่น เปป็นทรงแก้วพลาสติกบุบๆ


เริ่มด้วยออเดิร์ฟขนมปัง




บรรยากาศภายใน





ไลน์อาหาร มีพาสต้า ทำสดให้เลือก  


อาหารไทยก็มีให้เลือกทาน


อาหารจีนครับ



ใครชอบซีฟู้ดก็มีให้ทานมากมาย กุ้งตัวใหญ่ หอยชิ้นโต






มีส่วนของ Cold cut และ Cheese ให้ได้ทานเรียกน้ำย่อย ทานคู่กับเมล่อนจะอร่อยมาก





โซนขนมหวานมีให้เลือกมากมาย แนะนำให้ทานไอศกรีมของที่นี่ด้วย เป็น Homemade ของโรงแรมเอง ช็อคโกแลตเข้มข้นอร่อยมาก



มีรถเข็นผลไม้ด้วย อารมณ์ Street Food


ส้มตำก็มีให้ทาน


มีแกะด้วย อร่อยดีครับ


ไลน์อาหารไม่จบแค่นี้นะครับ หากใครชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นต้องเดินข้ามไปอีกฝั่ง


มีป้ายบอก



ใครจะทานไวน์เพิ่มก็มีไวน์จาก Wine connetion


เดินกันต่อไป มีที่นั่งรองรับเยอะมาก




ส่วนอาหารญี่ปุ่นก็มีทั้งซูชิและซาซิมิ แบบโรบาตะยากิก็มี โดยสามารถดูหน้าตาได้จากตัวอย่าง mock up




แบบโรบาตะยากิ 



ซุปมิโซะ ใส่เครื่องเองตามใจชอบ



ทานบนโต๊ะ




วิวที่ได้เห็นก็เป็นวิวสวนสวย


อีกจุดที่คนมาสังสรรค์ที่นี่และนิยมถ่ายภาพกัน คือ กำแพงที่เป็นแผนที่โซ


มีระเบียงชมวิวถนนพระราม 4 



ก็จบไปแล้วกับรีวิว So Sofitel  ครับ น่าจะทำให้ไอเดียและเข้าใจแนวคิดของทางโรงแรมมากขึ้น เผื่อมีโอกาสจะได้เลือกใช้บริการให้เหมาะสมต่อไปครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น